เพิ่มคำอธิบายภาพ http://www.deviantart.com/ ... |
สรุป นิพพานอยู่ไหน
มาถึงบทสรุปว่านิพพานอยู่ไหน ในหลายคำถามหลายคำตอบในเว็บต่างๆที่คนอยากรู้เข้าไปดูข้อมูลบ้าง เข้าไปตั้งกระทู้ถามหรือแม้แต่จะอธิบายว่า นิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหน มีการอ้างตำราอ้างคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ ว่านิพพานอยู่ตรงไหนมีลักษณะอย่างไร
ถ้าใครเปิดหน้าเว็บแล้วเจอหน้านี้ก่อนโดยยังไม่ได้อ่านบทความต้นๆ อาจจะทำให้เข้าใจได้ยาก คงต้องไปอ่านบทต้นๆก่อน เพื่อให้รู้ถึงธรรมเบื้องต้น ที่ผมต้องการแสดงให้รับรู้จนมาถึงบทสรุปตอนนี้
บทความที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ อาจจะไม่ได้อธิบายไว้ว่านิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหนหน้าตาเป็นยังไง แต่ผมจะอธิบายให้นักปฏิบัติพอจะมองเห็นหนทางได้บ้าง
โลภ โกรธ หลง ๓ ตัวนี้ ตัวหลงเป็นตัวที่ตัดได้ยากที่สุด เพราะแม้แต่พระโสดาบันก็ยังหลง คือหลงมาเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ อย่างกลาง ๓ ชาติ อย่างน้อย ๑ ชาติ(พระโสดาบันมี ๓ ระดับ) พระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีก ๑ ชาติ ส่วนพระอนาคามีไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะท่านจะไปสำเร็จพระอรหันต์อยู่บนพรหมชั้นสุทธาวาส
ผมได้เขียนเรื่องนิโรธสมาบัติไปแล้วและไม่คิดว่าจะมีใครมาแอบอ้างเรื่องนี้กันอีก คือไม่กี่วันนี้ผมเห็นข้อความในเว็บหนึ่ง บอกว่าอาจารย์ของเขาจะเข้านิโรธกรรม การเข้านิโรธกรรมเป็นยังไงและเมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้วในวันที่เขากำหนด ก็มีการเชิญชวนผู้มีศรัทธาไปทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธกรรมซึ่งมีอานิสงส์มาก แล้วก็เอาเรื่องนิโรธสมาบัติที่มีพระท่านได้เขียนรายละเอียดบอกไว้ว่า ใครได้ถวายทานกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วอธิษฐานสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นในวันนั้น เช่นอยากถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ ๑ แจ็คพอตด้วย ก็จะสมหวังในคราวนั้น อยากจะเป็นเศรษฐีก็จะได้เป็น ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะคนที่จะสมหวังจริงจะมีได้เพียงคนแรกคนเดียวเท่านั้น การจะเข้านิโรธสมาบัติต้องได้พระอนาคามีเป็นขั้นต่ำและสำเร็จอรูปฌานชั้นสูงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน(มีอยู่ในเรื่องทาน) ในอดีตพระราชากิงกิสสะจึงมีประกาศห้ามผู้ใดไปถวายทานพระกัสสปพุทธเจ้าก่อนพระองค์ แต่โพธิอำอามย์ฝ่าฝืนคำสั่งจนถูกประหารชีวิต
มีนักปฏิบัติจำนวนมากอยากไปนิพพาน แต่ตัวเองยังกิน นอน อยู่ที่บ้านแล้วอย่างนี้จะไปนิพพานได้ยังไงกัน เพราะผู้ที่จะไปนิพพานได้ต้องสละทางโลกให้ได้ก่อน คือต้องออกบวช การจะเข้าถึงนิพพานได้ต้องสำเร็จพระอรหันต์ก่อนแต่การที่จะสำเร็จพระอรหันต์ก็ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ซึ่งในสังโยชน์ ๑๐ ต้องตัดกามฉันทะ คือความพอใจใน รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัสและอารมณ์ ซึ่งตัวอารมณ์ตัวนี้คือตัวกามราคะ การยินดีในรสกามการเสพสุขจากการสัมผัสฝ่ายตรงข้ามการร่วมประเวณีกัน ในเมื่อตรงนี้ยังตัดไม่ได้ก็อย่ามาพูดเรื่องว่าจะไปนิพพานเลย จิตใจไม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวทำไม่ได้หรอก
นิพพานคือความว่างเปล่า ก็มาพิจารณาถึงความว่าง เมื่อมีอะไรมากระทบก็คิดว่ามันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ถ้ามันว่างเปล่าแล้วจริงๆจะไปทุกข์กับมันทำไมเพราะมันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า แต่ความสว่าง แสงสีขาว อากาศธาตุ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน อาจจะกลายเป็นว่าไปติดนิมิตแล้วทำให้หลงเช่นเดียวกับพระดาบสฤๅษีทั้งหลายที่ติดรูปฌาน ถ้าพิจารณาความว่างเป็นอารมณ์เหมือนอารมณ์นิพพานก็ไม่ถูกต้อง เพราะอารมณ์นิพพานเป็นอารมณ์ที่ว่างจากกิเลสตัณหาทั้งปวง ถ้าผู้สอนจะบอกว่าวิธีพิจารณาแบบนี้เป็นทางลัด ถ้าเป็นทางลัดจริงพระพุทธองค์ทำไมจึงตรัสสอนว่า ไม่ละสังโยชน์แล้วจะทำนิพพานให้แจ้งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้(ฐานสูตรหรืออารามสูตร ๔-๓๓๑) แม้การพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ก็ต้องละสังโยชน์เช่นกัน ที่สุดของการพิจารณาคือรักษาจิตตัวเดียวก็ต้องละสังโยชน์ให้ได้ ตามระดับชั้นของพระอริยะ ไม่มีทางลัดที่จะไปนิพพานหรือสำเร็จนิพพานได้ มันต้องเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกับการพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท หรือแม้แต่การละสังโยชน์ ๑๐ ต้องละสังโยชน์ที่ ๑ ก่อนแล้วมา ๒ และ๓... จะละสังโยชน์ ๒ แล้วมา ๑ และ ๓ ไม่ได้ เช่นเราบอกว่าเราไม่ลังเลสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย จากนั้นมาพิจารณาเพื่อจะละตัวสักกายทิฐิหรือตัวสีลัพพตปรามาสไม่ได้ ความจริงการละสังโยชน์ ๓ เพื่อบรรลุพระโสดาบันนั้นก็มีบอกถึงวิธีพิจารณาไปแล้ว(ถ้าได้อ่านบทความทั้งหมด)