วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทที่ ๑๑ สวรรค์ กามาวจรสวรรค์


สัคคกถา  กล่าวถึงสวรรค์ที่อุดมด้วยทิพยสมบัติ
ความหมายของสวรรค์ในทางพระพุทธศาสนานั้น  เป็นที่มีเทวดาผู้หญิงและเทวดาผู้ชาย  มีการบริโภคกามคุณเหมือนกับโลกของเราทั่วไป  แต่ลักษณะการบริโภคนั้นเป็นทิพย์ทั้งหมด  ซึ่งมีด้วยกัน ๖ ชั้น ดังนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๑ ชื่อจาตุมมหาราช  เป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด  แต่สูงกว่าพวกสัมพเวสีหรือเทวดาเดินหน  เทวดาอยู่บนต้นไม้  อยู่บนดิน  เทวดายอดหญ้า  อายุของเทวดาชั้นนี้จะยืนยาว ๕๐๐ ปีสวรรค์  เทียบกับมนุษย์ได้ ๙ ล้านปีของเรา  หรือ ๕๐  ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวาดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นนี้แบ่งออกเป็น ๔ ทิศ  แต่ละทิศประกอบด้วยกำแพงทองคำล้อมรอบพระนครและยังประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ  และแก้วมณีอันล้ำค่า  ในแต่ละพระนครยังมีสระโบกขรณี  ซึ่งมีดอกบัวนานาชนิด  ทิศเหนือมีมหาราชชื่อ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นผู้ปกครองเหล่าอสูร  ยักษ์มาร  และปราบภูตผีปีศาจ  ทิศตะวันออกมีมหาราชชื่อ  ท้าวธตรฐมหาราช  ปกครองเหล่าคนธรรพ์ซึ่งมีความสามารถในการดีดพิณและเชี่ยวชาญในการร้องรำ  ทิศใต้มีท้าววิรุฬหก  ปกครองเหล่ากุมภัณฑ์  อนันตยักษ์  ทิศตะวันตกมีท้าววิรูปักษ์  ปกครองเหล่านาคทั้งหลาย
สวรรค์ชั้นที่  ๒  ดาวดึงส์  เป็นพระนครกว้างใหญ่ไพศาล  บริบูรณ์ไปด้วยทิพย์สมบัติ  และงดงามยิ่งนัก  มีอุทยานใหญ่อยู่ทั้ง ๔ ทิศ  คือ  อุทยานนันทวัน  อุทยานจิตลดาวัน  อุทยานสักกะวัน  อุทยานผรุสกวัน  เทพนครดาวดึงส์นี้มีขอบเขตข้างละหมื่นโยชน์ มีประตูหนึ่งพันประตู  ประดับด้วยสวนและสระอันน่าภิรมย์ยิ่งนัก  ในเทพนครแห่งนี้มีปราสาทราชฐานหลังหนึ่งชื่อว่า  เวชยันต์ปราสาท  ประดิษฐานอยู่อันสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการมีความสูงถึง ๗๐๐ โยชน์  ประดับประดาด้วยธงต่างๆ  ด้ามเสาธงเป็นทอง  ตัวธงเป็นแก้วมณี  ส่วนเสาธงที่เป็นแก้วมณีตัวธงก็เป็นทอง  เสาธงแก้วประพาฬ  ธงแก้วมุก  เสาแก้ว ๗ ประการ  ปราสาทนี้เกิดขึ้นเพราะผลบุญที่ได้สร้างศาลาเอาไว้ และผลบุญที่ได้ปลูกต้นทองหลางไว้ใกล้ศาลาจึงเกิดเป็นต้นปาริชาติ  ส่วนการจัดสถานที่ให้คนนั่งใต้ร่มไม้ทองหลางทำให้เกิดบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์สูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์  หนา ๑๕ โยชน์  เป็นที่ประทับของพระอินทร์  เวลาชาวโลกมีความเดือดร้อนก็จะบันดาลให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เกิดแข็งกระด้างขึ้นมายามพระอินทร์ประทับนั่งที่แท่นนี้  จะมีความร้อนดังไฟบอกเหตุร้ายให้พระอินทร์ได้รับรู้ พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ปกครองเทพนครแห่งนี้
ต้นปาริชาติในหนึ่งร้อยปีจะออกดอกครั้งหนึ่ง  มีความหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งสวรรค์  กลิ่นของดอกปาริชาติเมื่อลมพัดพาไปถูกต้องกายเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด  ก็จะบันดาลให้องค์นั้นระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์ยิ่งนัก
พระอินทร์นั้นมีถึง ๗ ชื่อด้วยกัน ๑. มัฆวาน  ๒. ปุรินทร์  ๓. สักกะ  ๔. วาสวะ  ๕. สหัสเนตร  ๖. สุชัมบดี  ๗. เทวานมินทร์ พระอินทร์มีมเหสี ๔ องค์ คือ นางสุธรรมา นางสุนันทา นางสุจิตราและนางสุชาดา
สมเด็จพระอินทราธิราชสร้างวัตร ๗ ประการจึงได้มาเสวยสุขอยู่บนดาวดึงส์สวรรค์ชั้นนี้  วัตร ๗ ประการมีดังนี้
๑. มาตาเปติภโร  การเลี้ยงดูบิดามารดาอยู่ตลอดชีวิต
๒. กุเลเชษฐาปจายี  การเคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูลอยู่ตลอดชีวิต
๓. สัณหวาโจ  การกล่าววาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต
๔. อัปสุณาวาโจ  การไม่กล่าววาจาส่อเสียดยุยงผู้อื่นอยู่ตลอดชีวิต
๕. มัจเฉรวินโย  การกำจัดความตระหนี่ให้ออกไปจากจิตใจแล้วจำแนกแจกทานอยู่ตลอดชีวิต
๖. สัจจวาโจ  มีวาจาสัตย์อยู่ตลอดชีวิต
๗. อโกธโน  ความไม่มีความโกรธอยู่ตลอดชีวิต
              ทิศตะวันออกเฉียงใต้  มีเทวสถาน  เป็นเจดีย์ใหญ่  สร้างด้วยแก้วอินทนิลตั้งแต่กลางองค์พระเจดีย์ขึ้นไปถึงยอดพระเจดีย์  สร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์  และประดับด้วยแก้ว ๗ ประการพราวแพรวระยิบระยับ  ล้อมรอบกำแพงด้วยทองคำล้วน  เหลืองอร่ามไปทั่วบริเวณนั้น  เทวสถานนั้นมีชื่อว่า  พระจุฬามณีเจดีย์  เป็นที่บรรจุพระเกศโมลี  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทุกๆพระองค์  ที่ทรงตัดออกในขณะที่เสด็จออกบรรพชา  นอกจากนั้นยังมีพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า  ซึ่งได้มาจาก  โทณพราหมณ์  เป็นผู้แบ่งพระบรมธาตุหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพระปรินิพพานไปแล้ว
เทวดาทั้งหลายทุกชั้นฟ้าและผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบขอบจักรวาล  ต่างก็นำดอกไม้ของหอมมากระทำการทักขิณาวัฏ  เวียนเทียนอยู่มิได้ขาด
ไม่ไกลจากแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  มีศาลาใหญ่ชื่อ  สุธรรมาเทวสถาน  มีดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมยิ่งกว่าดอกปาริชาติชื่อว่า  อสาพดี  หนึ่งพันปีจะออกดอกสักครั้งหนึ่งและในเทวสถานนี้  จะเป็นที่ประชุมกันของเหล่าเทพ  เทวดา  นางฟ้า  เพื่อมาฟังธรรมกัน
สวรรค์ชั้นนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์มาก  ก่อนที่พระอินทร์จะได้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้  ก็ได้ต่อสู้กับพวกที่อยู่มาก่อน  คือ  พวกเนวาสิก  ท้ายที่สุดฝ่ายพวกเนวาสิก  ก็ถูกโยนลงมาจากสวรรค์  เพราะไปดื่มน้ำคันธบานจนเมามาย  แม้จะกลับขึ้นไปอีกก็ยากเสียแล้ว  จึงสาบานตนว่าจะเลิกดื่มโดยเด็ดขาด  ตั้งแต่บัดนั้นมาพวกเนวาสิกจึงได้ชื่อใหม่ว่า  อสูร  หรือ  อสุรา  แปลว่า  ไม่ดื่มสุรา
ในสวรรค์ชั้นนี้ยังมีเทพบุตรเอราวัณ  ซึ่งเนรมิตกาย  ให้เป็นช้างใหญ่  มี ๓๓ เศียร  สำหรับพระอินทร์ทรงประทับตรงกลาง  ๑ เศียร และอีก ๓๒ เศียร  เป็นที่ประทับของสหายทั้ง ๓๒ องค์  ซึ่งในสมัยที่เป็นมนุษย์พระอินทร์กับเพื่อน ๓๒ คน  และ ช้าง ๑ เชือก  ได้ช่วยกันทำสาธารณะกุศลมากมาย  เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจึงได้บังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้   อายุของเทพชั้นนี้เท่ากับ  ๑๐๐๐ ปีทิพย์   ๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้

สวรรค์ชั้นที่ ๓  ชื่อว่า ยามา  มีปราสาททองคำ  วิมานทองคำ  วิมานแก้ว  ล้วนแต่วิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก  มีท้าวสยามเทวาธิราช  ปกครองอยู่  หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ  พระสยามเทวาธิราชนั่นเอง  ผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้จะต้องเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง  มีจิตใจบริสุทธิ์  หมั่นทำทานรักษาศีล  เจริญภาวนา  มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย  ในสวรรค์ชั้นนี้ไม่ปรากฏแสงพระอาทิตย์หรือแสงพระจันทร์  เพราะว่าเป็นภูมิที่ตั้งอยู่สูงเหนือพระอาทิตย์และพระจันทร์มากมาย  แต่เทวดาทั้งหลายสสามารเห็นกันได้ด้วยความสว่างแห่งรัศมีที่ออกมาจากกายของเทวดาเหล่านั้น  เทวดาทั้งหลายรู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนจากดอกไม้ทิพย์ที่บานในตอนเช้าและหุบในตอนกลางคืน  อายุของเทพชั้นนี้นานถึง ๒ พันปีทิพย์  เวลา ๒๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนุ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๔  ชื่อว่า  ดุสิต  มีท้าวสันดุสิตเทวาธิราชปกครองอยู่  ดุสิตาภูมินี้มีวิมาน ๓ ชนิด คือ  รัตนวิมาน ๑   สุวรรณวิมาน ๑   รชตวิมาน ๑   วิมานเหล่านี้ตั้งเรียงรายอยู่เป็นระเบียบสวยงามวิจิตรตระการตายิ่งนัก   มีรัตนปราการล้อมรอบ  ทุกวิมานมีรัศมีรุ่งเรืองสวยงามยิ่งกว่าชั้นยามาภูมิ  ผู้มาบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้จะมีจิตใจยินดีต่อการฟังธรรมในทุกวันธรรมสวนะ  สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อุบัติของโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์  ในวันพระเหล่าเทพทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม  โดยมีผู้เป็นพหูสูตอย่างท้าวสันดุสิตเทวาธิราชเป็นผู้แสดงธรรม  เนื่องจากท่านได้ฟังธรรมเทศนามาจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์  บางครั้งก็เชิญพระศรีอาริยะมาแสดงธรรมเช่นกัน  เพราะว่า  พระศรีอริยะจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป  นอกจากนี้แล้ว  สวรรค์ชั้นนี้ยังมีปราสาทและวิมานที่สำคัญของเทพธิดาที่เรารู้จักกันดี  นามว่า  เทพธิดาสิริมหามายา  ซึ่งเคยเป็นพระราชมารดาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารวมอยู่ด้วย  เทวดาชั้นนี้เสวยทิพย์สมบัตินาน ๔ พันปีทิพย์เทียบกับโลกมนุษย์  ห้าพันเจ็ดโกฏิกับหกสิบแสนปี  เวลา ๔๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๕  ชื่อ  นิมมานรดี  มีท้าวนิมมิตเทวาธิราชเจ้าปกครอง  ผู้ที่มาเกิดในสวรรค์ชั้นนี้  ล้วนแต่มีจิตบริสุทธิ์มั่นอยู่ในศีล  ทาน  วิริยะ  อุตสาหะ  ประพฤติตนมั่นคงในพระรัตนตรัย  รูปร่างสวยงามกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ ที่ผ่านมา  มีรัศมีกายรุ่งเรืองสว่างออกจากลำตัว  ปรารถนาสิ่งใดก็สามารถเนรมิตได้ดังใจหวัง   แม้ปรารถนาจะเสวยสุขทางกามคุณใดย่อมเนรมิตคู่ครองได้ตามใจต้องการ  เทพชั้นนี้มีอายุขัย ๘ พันปีทิพย์  นางวิสาขาก็อยู่สวรรค์ชั้นนี้  เวลา ๘๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๖  ชื่อว่า  ปรนิมมิตสวัตตี  มีการปกครองออกเป็น ๒ ฝ่าย  ไม่ปะปนกัน
ฝ่ายเทพ  มีท้าวปรนิมิตเทวราชปกครอง
ฝ่ายมาร   มีท้าวปรนิมิตสวัตตีมาราธิราชปกครอง
สวรรค์ชั้นนี้มีอายุยืนนาน ๑๖๐๐  ปีทิพย์  หรือ ๙๒๑ โกฏิ  ๖ ล้านปีมนุษย์  เวลา ๑๖๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้  เทวดาชั้นนี้เมื่อต้องการที่จะเสวยกามคุณใดๆ  เทวดาอื่นรู้แล้วก็จะเนรมิตโดยไม่ต้องบอกกล่าว
เหตุที่ต้องแบ่งสวรรค์ชั้นนี้เป็น ๒ ฝ่าย
ด้วยองค์มาราธิราชนี้  คือ  พระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อหวังจะได้เป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว  หลายภพหลายชาติ  ซึ่งเรื่องทั้งหลายได้บังเกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้านามว่า  พระกัสสะปะ  ได้อุบัติขึ้นในโลก  และพระโพธิสัตว์ในสมัยนั้นได้เป็นมหาอำมาตย์  ชื่อโพธิอำมาตย์  เป็นอัครเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช  ซึ่งเนื้อความของโพธิอำมาตย์มีกล่าวไว้แล้วในเรื่องของทานข้างต้น
เมื่อโพธิอำมาตย์ถูกประหารชีวิตแล้วได้ไปบังเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ก็จุติลงมาในโลกมนุษย์  เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้  หลายชาติกระทั่งในชาติที่เป็นพญามารในชั้นที่ ๖ นี้  เนื่องจากอำนาจบุญและกรรมที่ได้ทำไว้มีก้ำกึ่งกันด้วยจิตริษยาที่พระโคดมได้เสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน  ทั้งๆที่ตนได้บำเพ็ญตนสร้างบารมีมาก่อนมากมาย  เฝ้าติดตามรบกวนด้วยอาการต่างๆ  แต่มิได้เป็นบาปหนัก  เพราะไม่ได้ล่วงเกินแต่ประการใด
จนกระทั่งพระพุทธศาสนาล่วงมาได้  ๒๑๘ ปี  พระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป  มีศรัทธาต้องการสร้างพระสถูปเจดีย์แปดหมื่นสี่พันองค์  พร้อมกับให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกด้วยในเวลานั้น
ในงานนี้กลัวพญามาราธิราชผู้มีฤทธิ์มากและยังมีจิตริษยาอยู่จะต้องมาขัดขวางมิยอมให้ศาสนาของพระพุทธโคดมมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
พระสงฆ์ทั้งหลายประชุมกันแล้ว  จำเป็นต้องนิมนต์พระอุปคุตมาปราบตามพุทธทำนาย  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยทิพยจักษุว่า  พระอุปคุตจะยังพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง  และเพื่อประกาศเกียรติคุณแก่พระอุปคุตให้ชนทั้งหลายได้ศรัทธา  ฉะนั้นในสมัยของพระพุทธเจ้าจึงมิได้ทำการใดๆแก่พญามาร
ครั้นแล้วก็ให้พระภิกษุสงฆ์ผู้มีฤทธิ์สององค์เหาะไปยังที่อยู่ของพระอุปคุตแล้วแหวกสมุทรลงไป  เพื่อนิมนต์พระเถระขึ้นไปป้องกันพญามาราธิราช
ในระหว่างงานฉลองพระสถูปเจดีย์นั้น  พญามารได้เหาะลงมาจากสวรรค์ชั้น ๖บันดาลให้เกิดเป็นพายุใหญ่พัดมาเพื่อจะดับเทียนชัยและดวงประทีปที่จุดบูชาหน้าพิธี  พระอุปคุตคอยทีอยู่แล้ว  จึงบันดาลให้พายุนั้นหายไปหมดสิ้น
พญามารโกรธจัด  แปลงร่างเป็นวัวกระทิงใหญ่พุ่งเข้าใส่ทันที  พระเถระจึงรีบแปลงเป็นเสือโคร่งตะปบวัวกระทิงจนพ่ายแพ้  ครั้นแล้วกระทิงใหญ่ตัวนั้นก็กลายร่างเป็นพญานาคเจ็ดเศียร  พ่นไฟใส่เสือโคร่งเพื่อหมายเอาชีวิตให้ได้  เสือโคร่งนั้นก็กลายเป็นพญาครุฑไล่จิกตี  จับกระชากแทบจะขาดใจ  ฝ่ายพญานาคนั้นก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ถือตะบองไล่ตีอย่างดุร้าย  ครุฑก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ขึ้นอีกสองเท่า  ถือตะบองสองอันไล่ตียักษ์เล็กอย่างว่องไว  ยักษ์เล็กถึงกับความพ่ายแพ้ยับเยิน
พระเถระก็กลับเป็นร่างเดิม  แล้วเนรมิตหมาเน่าผูกด้วยประคดเอวของท่านโยนไปคล้องคอพญามารพอดี  และประกาศว่า  ห้ามอินทร์พรหมยมเทพ  เอาหมาเน่าออกเป็นอันขาด
พญามารถูกหมาเน่าคล้องคอส่งกลิ่นเหม็น  เกิดอาการคลื่นไส้  อาเจียนรับความทรมานอย่างมาก  ไม่มีปัญญาจะดึงซากหมาเน่าให้หลุดออกไปได้  เพราะในขณะที่จับไปถูกสายประคดนั้นก็จะมีไฟลุกไหม้มือด้วยความร้อนเป็นที่สุด ซึ่งทำอย่างไรก็แก้ไม่ออกสักที  ถึงแม้พญามารจะเหาะขึ้นไปหาพระอินทร์  พระพรหม  และเทพผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายขอให้ช่วยแก้ให้ แต่ ก็ต้องผิดหวัง  จนมีพระพรหมองค์หนึ่ง  แนะนำให้พญามารไปขอโทษสารภาพผิดกับพระเถรเสียจะดีกว่า  เพื่อท่านจะได้แก้ให้ด้วยมือของท่านเอง
เมื่อพญามารหมดหนทางแล้ว  จำต้องปฏิบัติตามโดยดี  จึงเหาะไปหาพระเถระ  เพื่อสารภาพความผิดและขอร้องให้ช่วยแก้หมาเน่าออก
พระเถระก็ไม่ว่าอะไร  และบอกว่าจะแก้ให้  แล้วก็ลุกออกจากที่เรียกให้พญามารตามมาด้วย  พอพระอุปคุตพาพญามารมาถึงภูเขาลูกหนึ่ง  จึงดึงซากหมาเน่าออกจากคอของพญามาร  แล้วโยนทิ้งเหวไป  และยังเนรมิตให้สายประคดนั้นยาวออกไปอีกและมัดตัวพญามารไว้กับภูเขาลูกนั้น  และกำชับว่า  จงอยู่ที่นี่ไปก่อน  จนกว่างานของพระเจ้าธรรมาอโศกจะผ่านพ้นไป  ซึ่งใช้เวลา ๗ ปี ๗ เดือนกับอีก ๗ วัน
ส่วนการสังคายนาพระไตรปิฎกนั้นใช้เวลาอยู่ ๙ เดือนจึงสำเร็จ
พญามารรู้สึกเจ็บแค้นและผูกพยาบาทต่อพระเถระเป็นอย่างมาก  ครั้นงานฉลองพระเจดีย์เสร็จสิ้นลง  พระเถระก็กลับไปที่ภูเขาลูกนั้นอีก  แต่ยังมิได้เข้าไปในขณะนั้น  เพียงแต่แอบดูอยู่ว่าพญามารจะละพยศหรือยัง
พญามารเมื่อถูกกักขังไว้อย่างนั้นต้องยืนตากแดดตากฝน  ทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง  มีความเศร้าโศกเสียใจและน้อยใจตัวเอง  ที่อยู่บนวิมานเสวยสุขอยู่อย่างนั้นก็ดีแล้ว  แต่กลับมาลำบากเพราะความริษยาแท้ๆ
ได้แต่รำพึงขึ้นมาว่า  เมื่อครั้งที่พุทธโคดมได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เราได้กลั่นแกล้งต่างๆนานา  พระพุทธองค์ท่านก็มิได้โกรธเราแม้แต่น้อย  ครั้นบัดนี้พระสาวกของพระองค์กลับมาทำร้ายเราให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ในที่สุดก็หวนระลึกถึงความปรารถนาของตนที่เคยตั้งใจเอาไว้  แทบพระบาทของพระกัสสปะพุทธเจ้า  เมื่อครั้งที่เกิดเป็นโพธิอำมาตย์เสนาบดี  จึงสำนึกถึงบาปที่ตนได้กระทำลงไป
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป  เราจะขอเลิกมีจิตริษยาทั้งปวง  และมุ่งมั่นที่จะประกอบคุณงามความดี  มีความเมตตา  กรุณาปราณีเป็นที่ตั้งและมีศรัทธาแรงกล้า  เพื่อจะสำเร็จโพธิญาณเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลายในอนาคตข้างหน้า
เมื่อกล่าวดังนั้นแล้ว  พระอุปคุตจึงออกมาจากที่ซ่อน  เดินตรงเข้ามาหาพญามารพร้อมกับกล่าวว่า
เราขออโหสิกรรมจากท่านด้วยเถิด  เพราะความจำเป็นจึงต้องกระทำกับท่านเช่นนั้น  แต่ก็เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลทีเดียว  ที่ทำให้ท่านได้ระลึกถึงพระพุทธภูมิได้  ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  ท่านก็จะได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งพระบรมโพธิสัตว์  ที่ชาวโลกทั้งหลายให้การกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริง 
และแล้วพระเถระก็แก้สายประคดออก  ให้พญามารได้รับอิสรภาพ  และยังขอร้องให้พญามาร  เนรมิตกายให้เหมือนพระพุทธองค์  เพื่อจะได้ชมพระบารมี  เป็นพุทธนิมิตและพุทธานุสสติแก่ชนทั้งหลาย
พญามารก็ไม่ขัดข้อง  แต่ขอร้องว่า  เมื่อเห็นแล้วก็อย่าเผลอกราบไหว้อย่างเด็ดขาด  เพราะบาปนั้นจะตกกับเราผู้เดียว  พระเถระเข้าใจความหมายดี  พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญา
พญามารจึงเนรมิตกาย  เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ด้วยมหาปุริสลักษณะ  พร้อมฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร  มีครบทั้งพระอัครสาวก   ทั้งซ้ายและขวาพร้อมบริบูรณ์  เสด็จด้วยพระพุทธลีลาอย่างสง่างาม
พระอุปคุตและเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย  พากันตะลึงในความงดงามปิติยินดีเป็นยิ่งนัก  ทำให้เคลิบเคลิ้มเผลอไผลถึงกับลืมตัว  ต่างฝ่ายต่างก็ยกมือขึ้นไหว้โดยพร้อมเพรียงกัน  พญามารตกใจในทันใดนั้นต้องรีบกลับกลายเป็นร่างเดิมทันทีแล้วกล่าวว่าท่านไม่มีสัจจะ  ทำไมจึงลืมสัญญาเสียได้  จะทำให้เราบาปรู้บ้างไหม
พระอุปคุตว่า  พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอกอย่าได้ตำหนิเราเลย  เพียงแต่เราสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกต่างหาก  และก็จะทำให้ท่านได้อานิสงส์เป็นอย่างยิ่ง  ที่ท่านได้ทำเป็นกุศลให้กับพวกเรา
แล้วพระอุปคุตเถระก็กล่าวแสดงธรรมให้กับพญามารได้รับฟัง  จนเป็นที่พอใจ  แล้วพญามารก็เหาะขึ้นไปเสวยสุขในสวรรค์ชั้นที่ ๖  เหมือนอย่างเดิม
นับแต่นั้นเป็นต้นมา  พญามาราธิราชก็มีจิตใจละเอียดอ่อนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง  ได้บำเพ็ญบารมี  เพื่อมุ่งหมายพุทธภูมิต่อไป
ถ้ามีใครบอกว่า  ผู้นั้นผู้นี้สามารถพบเห็นพระพุทธเจ้าได้  มีการสนทนาธรรม  มีการถวายภัตตาหารและปัจจัยต่างๆได้  ท่านจะเชื่อหรือไม่  เพราะแม้แต่พระอุปคุตผู้มีฤทธิ์มากเป็นพระอรหันต์ขีณาสพยังทำไม่ได้เลย
เมื่อกล่าวถึงสวรรค์มาพอสมควรแล้วคงจะต้องกล่าวถึงนรกเอาไว้บ้าง  เพื่อเตือนใจสำหรับผู้กระทำผิดศีล  ทำอกุศลต่างๆ
นรกก็อย่างที่ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจกันดี  หรือเคยเห็นตามภาพในโบสถ์  วิหาร  และที่อื่นๆ เช่นเดียวกับที่เห็นภาพสวรรค์ที่มีเทพชุมนุมกันตามหน้าต่างประตูโบสถ์และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
นรกแบ่งออกเป็น ๘ ขุมใหญ่ด้วยกัน  แต่ละขุมจะมีสภาพแตกต่างกันออกไป  สำหรับลงโทษผู้กระทำผิดแล้วแต่บาปกรรมที่ทำเอาไว้  และยังมีนรกบริวารเป็นเปรตอสูรกายและสัตว์เดรัจฉานต่อไป  ยังมีนรกเล็ก ๔ ขุม นรกเล็กชั้นนอก ๑๐ ขุม รวมทั้งหมด ๔๕๖ ขุม

ไม่มีความคิดเห็น: