วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๒๖ นิพพานด้วยปัญญา (๑๐) สรุปว่านิพพานอยู่ตรงไหน

เพิ่มคำอธิบายภาพ
http://www.deviantart.com/ ...
สรุป นิพพานอยู่ไหน
    มาถึงบทสรุปว่านิพพานอยู่ไหน ในหลายคำถามหลายคำตอบในเว็บต่างๆที่คนอยากรู้เข้าไปดูข้อมูลบ้าง เข้าไปตั้งกระทู้ถามหรือแม้แต่จะอธิบายว่า นิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหน มีการอ้างตำราอ้างคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ ว่านิพพานอยู่ตรงไหนมีลักษณะอย่างไร
   ถ้าใครเปิดหน้าเว็บแล้วเจอหน้านี้ก่อนโดยยังไม่ได้อ่านบทความต้นๆ อาจจะทำให้เข้าใจได้ยาก คงต้องไปอ่านบทต้นๆก่อน เพื่อให้รู้ถึงธรรมเบื้องต้น ที่ผมต้องการแสดงให้รับรู้จนมาถึงบทสรุปตอนนี้
    บทความที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ อาจจะไม่ได้อธิบายไว้ว่านิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหนหน้าตาเป็นยังไง แต่ผมจะอธิบายให้นักปฏิบัติพอจะมองเห็นหนทางได้บ้าง
   โลภ โกรธ หลง ๓ ตัวนี้ ตัวหลงเป็นตัวที่ตัดได้ยากที่สุด เพราะแม้แต่พระโสดาบันก็ยังหลง คือหลงมาเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ อย่างกลาง ๓ ชาติ อย่างน้อย ๑ ชาติ(พระโสดาบันมี ๓ ระดับ) พระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีก ๑ ชาติ ส่วนพระอนาคามีไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะท่านจะไปสำเร็จพระอรหันต์อยู่บนพรหมชั้นสุทธาวาส
  ผมได้เขียนเรื่องนิโรธสมาบัติไปแล้วและไม่คิดว่าจะมีใครมาแอบอ้างเรื่องนี้กันอีก คือไม่กี่วันนี้ผมเห็นข้อความในเว็บหนึ่ง บอกว่าอาจารย์ของเขาจะเข้านิโรธกรรม การเข้านิโรธกรรมเป็นยังไงและเมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้วในวันที่เขากำหนด ก็มีการเชิญชวนผู้มีศรัทธาไปทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธกรรมซึ่งมีอานิสงส์มาก แล้วก็เอาเรื่องนิโรธสมาบัติที่มีพระท่านได้เขียนรายละเอียดบอกไว้ว่า ใครได้ถวายทานกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วอธิษฐานสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นในวันนั้น เช่นอยากถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ ๑ แจ็คพอตด้วย ก็จะสมหวังในคราวนั้น อยากจะเป็นเศรษฐีก็จะได้เป็น ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะคนที่จะสมหวังจริงจะมีได้เพียงคนแรกคนเดียวเท่านั้น การจะเข้านิโรธสมาบัติต้องได้พระอนาคามีเป็นขั้นต่ำและสำเร็จอรูปฌานชั้นสูงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน(มีอยู่ในเรื่องทาน) ในอดีตพระราชากิงกิสสะจึงมีประกาศห้ามผู้ใดไปถวายทานพระกัสสปพุทธเจ้าก่อนพระองค์ แต่โพธิอำอามย์ฝ่าฝืนคำสั่งจนถูกประหารชีวิต
    มีนักปฏิบัติจำนวนมากอยากไปนิพพาน แต่ตัวเองยังกิน นอน อยู่ที่บ้านแล้วอย่างนี้จะไปนิพพานได้ยังไงกัน เพราะผู้ที่จะไปนิพพานได้ต้องสละทางโลกให้ได้ก่อน คือต้องออกบวช การจะเข้าถึงนิพพานได้ต้องสำเร็จพระอรหันต์ก่อนแต่การที่จะสำเร็จพระอรหันต์ก็ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ซึ่งในสังโยชน์ ๑๐ ต้องตัดกามฉันทะ คือความพอใจใน รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัสและอารมณ์ ซึ่งตัวอารมณ์ตัวนี้คือตัวกามราคะ การยินดีในรสกามการเสพสุขจากการสัมผัสฝ่ายตรงข้ามการร่วมประเวณีกัน ในเมื่อตรงนี้ยังตัดไม่ได้ก็อย่ามาพูดเรื่องว่าจะไปนิพพานเลย จิตใจไม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวทำไม่ได้หรอก
   นิพพานคือความว่างเปล่า ก็มาพิจารณาถึงความว่าง เมื่อมีอะไรมากระทบก็คิดว่ามันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ถ้ามันว่างเปล่าแล้วจริงๆจะไปทุกข์กับมันทำไมเพราะมันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า แต่ความสว่าง แสงสีขาว อากาศธาตุ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน อาจจะกลายเป็นว่าไปติดนิมิตแล้วทำให้หลงเช่นเดียวกับพระดาบสฤๅษีทั้งหลายที่ติดรูปฌาน  ถ้าพิจารณาความว่างเป็นอารมณ์เหมือนอารมณ์นิพพานก็ไม่ถูกต้อง เพราะอารมณ์นิพพานเป็นอารมณ์ที่ว่างจากกิเลสตัณหาทั้งปวง  ถ้าผู้สอนจะบอกว่าวิธีพิจารณาแบบนี้เป็นทางลัด ถ้าเป็นทางลัดจริงพระพุทธองค์ทำไมจึงตรัสสอนว่า ไม่ละสังโยชน์แล้วจะทำนิพพานให้แจ้งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้(ฐานสูตรหรืออารามสูตร ๔-๓๓๑) แม้การพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ก็ต้องละสังโยชน์เช่นกัน ที่สุดของการพิจารณาคือรักษาจิตตัวเดียวก็ต้องละสังโยชน์ให้ได้ ตามระดับชั้นของพระอริยะ  ไม่มีทางลัดที่จะไปนิพพานหรือสำเร็จนิพพานได้ มันต้องเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกับการพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท หรือแม้แต่การละสังโยชน์ ๑๐  ต้องละสังโยชน์ที่ ๑ ก่อนแล้วมา ๒ และ๓... จะละสังโยชน์ ๒ แล้วมา ๑ และ ๓ ไม่ได้ เช่นเราบอกว่าเราไม่ลังเลสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย จากนั้นมาพิจารณาเพื่อจะละตัวสักกายทิฐิหรือตัวสีลัพพตปรามาสไม่ได้ ความจริงการละสังโยชน์ ๓ เพื่อบรรลุพระโสดาบันนั้นก็มีบอกถึงวิธีพิจารณาไปแล้ว(ถ้าได้อ่านบทความทั้งหมด)

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๒๕ นิพพานด้วยปัญญา (๙) ไหว้พระ ๘ นิ้ว

                                                                                                                                     
เจ้าตอบปัญหา
                มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งมีประวัติของพระศรีอริยเมตไตรย  และการตอบปัญหาของเทพองค์หนึ่งเป็นการประทับทรง  เทพองค์นี้เป็นของทางจีนเขาในที่นี้เรียกว่าเจ้าพ่อตามเขา  มีการถามตอบอยู่หลายหัวข้อ  จะยกตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องมาให้ดู
ถาม คนปล้นฆ่าชิงทรัพย์  ตายแล้วจะได้เกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า
ตอบ ไม่มีทางได้ผุดเกิดอีก
ถาม  ผู้ที่ตกนรกอเวจี  จะไม่ได้ผุดเกิดอีกตลอดกาลใช่หรือเปล่า
ตอบ  ผู้ที่ตกนรกอเวจี  เป็นพวกทำบาปหนัก  หมดโอกาสเกิดเป็นคนอีก  แต่ถ้ายมบาลพิพากษาให้ไปเกิดเป็นสัตว์ได้  แต่เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว  ก็ต้องกลับไปเสวยทุกข์ทรมานในอเวจีอีกตลอดไป
ถาม  ถ้าจะหวังบรรลุมรรคผล  ต้องเข้านับถือศาสนาใด
ตอบ  ไม่ว่าศาสนาใด  หากมีความเพียรในการขัดเกลาจิตและหมั่นบำเพ็ญทานบารมีจนครบสมบูรณ์  ย่อมสามารถบรรลุมรรคผลได้ทั้งสิ้น
ถาม  ถ้าหวังจะบรรลุพุทธะควรนับถือศาสนาใด
ตอบ : ไม่ว่าศาสนาใด  แม้วิธีปฏิบัติต่างกัน  แต่หลักการเหมือนกัน  คือ ต้องทำดีละชั่ว  บำเพ็ญศีล  สมาธิ  ปัญญา  จนจิตผ่องใสปราศจากกิเลสตัณหา
                นี่ยกปัญหาถามตอบบางส่วนที่ค่อนข้างเห็นชัดเจนมาให้รู้กัน  คนเราแม้จะทำกรรมชั่วขนาดไหนเมื่อตกนรกแล้ว  ก็สามารถมาเกิดเป็นคนได้อีก  จะช้าหรือเร็วต่างกัน  พระเทวทัตทำอนันตริยกรรม  คือ  ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตห้อขึ้นและยังทำให้สงฆ์ต้องแตกแยก  เป็นกรรมหนักห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน
                พระเทวทัตถูกธรณีสูบรับกรรมในนรกอเวจี  ตลอดกัป  ขณะที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบจมลงในแผ่นดิน  ในเวลาที่กระดูกคางจรดถึงพื้นดินพระเทวทัตกล่าวว่า  ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็นที่พึ่งด้วยกระดูกเหล่านี้  พร้อมด้วยลมหายใจ  จากการสำนึกผิดในวาระจิตสุดท้าย  ในอนาคต  พระเทวทัตจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
                ธรรมวินัยมีมรรคมีองค์ ๘ ดูกรสุภัททะ  ในธรรมวินัยใดไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘  ในธรรมวินัยนั้น  ไม่มีสมณะ  ที่ ๑   ที่ ๒  ที่๓  ที่๔ ธรรมวินัยใดมีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘  ในธรรมวินัยนั้นมีสมณะที่ ๑-๔ นั้น (มหาปรินิพพานสูตร ๑-๗๔)
                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สมณะที่ ๑ มีศาสนานี้เท่านั้น  สมณะที่  ๒ ๓ ๔  ก็เช่นเดียวกัน  ลัทธิของศาสนาอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง  ฯลฯ  ( จูฬสีหนาทสูตร  ๗-๓๔๓ )
                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้  เพราะสิ้นสังโยชน์  ๓  เป็นเพราะโสดาบัน  มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา  เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ภายหน้า  นี้เป็นสมณะที่ ๑  เพราะสิ้นสังโยชน์  ๓  เพราะราคะโทสะโมหะเบาบาง  เป็นพระสกิทาคามีมาสู่โลกนี้คราวเดียว  กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  นี้สมณะที่ ๒  เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์  เป็นอุปปาติกะ ( พระอนาคามี )  จักนิพพานในภพนั้น  มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดานี้  สมณะที่  ๓  ภิกษุในธรรมวินัยนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ ( พระอรหันต์ขีณาสพ ) นี้เป็นสมณะที่ ๔  ( ๔-๖๓ )
               โอรัมภาคิยสังโยชน์  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯ  สักกายทิฐิเป็นของมีกำลังอันปุถุชนบรรเทาไม่ได้นั้น  ชื่อว่าเป็นโอรัมภคิยสังโยชน์  เช่นเดียวกับวิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส  กามราคะ  และพยาบาท ฯ   ดูก่อนอานนท์  ข้อที่ว่าบุคคลไม่ต้องอาศัยมรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภคิยสังโยชน์ได้นั้น  ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ  (มหามาลุงโกยวาทสูตร  ๑-๓๓๒ )
                หมายถึงศาสนาอื่นไม่มีมรรคมีองค์ ๘  ไม่มีสมณะที่ ๑ โสดาบัน  สมณะที่ ๒  สกทาคามี   สมณะที่ ๓  อนาคามี  สมณะที่๔ อรหันต์
                ดังนั้นเจ้าพ่อจะบอกว่าศาสนาไหนก็เข้าถึงมรรคผลได้  แสดงว่าเจ้าพ่อไม่รู้เรื่องอะไรเลย  แม้จะมีผู้แปลคำถามคำตอบ  ผู้แปลก็ไม่เคยศึกษาหลักธรรมของศาสนาพุทธด้วย  เพราะถ้าศึกษาดีแล้วก็คงไม่กล้าจะเผยแผ่หลักธรรมที่ไม่ถูกต้อง
                หนังสือในลักษณะเช่นนี้มีอยู่มาก  ในเบื้องต้นก็มีบอกไปแล้วเหมือนกัน  มันขัดต่อหลักธรรมที่แท้จริงหลายอย่าง  แต่คนที่ไม่เข้าใจก็หลงตามเขาไป  เพราะการชักจูง  การช่วยเหลือ และรูปแบบของการปฏิบัติ  ทำให้ถูกโน้มน้าวคล้อยตามไปกับเขา  บ้างก็ออกมาจากกลุ่มคนลัทธิความเชื่อย่างนั้นของเขาได้  บ้างก็หลงยึดติดไปเลย
                มีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระอรหันต์อยู่เรื่องหนึ่ง  ต้นเหตุน่าจะเกิดจากพระสงฆ์ที่ท่านยังไม่เข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริง  แล้วก็เที่ยวเทศน์ไปอย่างนั้น  จนพระหลายรูปก็เทศน์ตาม  เช่นเดียวกับชาวบ้านที่นำไปสั่งสอนแบบผิดๆ
                คล้ายกับเรื่องชำระหนี้สงฆ์  หาบุคคลแรกไม่ได้ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร  ใครเป็นผู้บัญญัติขึ้นมา  เรื่องของเรื่องก็คือ  บิดามารดาเป็นอรหันต์หรือพระอรหันต์ของลูก  การกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  เป็นการพูดที่ไม่เข้าใจหลักธรรม  เพราะคำว่าพระอรหันต์  หมายถึง บุคคลที่ดับเหตุและปัจจัยที่จะทำให้มาเกิดอีก  แต่พ่อแม่ของเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้เท่าไหร่  เพราะถ้าท่านเป็นอรหันต์ในขณะนั้น  ท่านจะทำให้เราเกิดได้อย่างไร
                พระคุณของบิดามารดาจะมากมายเพียงใดก็ตาม  แต่ก็ยังไม่ได้เป็นอรหันต์ของลูก  เหมือนกับคนบางคน  บางกลุ่ม  บางพวก  ยกย่องว่าเทพองค์นั้นองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์  โดยขาดการศึกษาธรรมะให้ถ่องแท้  และบางพวกบางคนก็ว่าตามเขาไป  เช่นเดียวกับการที่จะยกย่องว่าพระรูปนั้นพระรูปนี้เป็นอริยะสงฆ์หรืออรหันต์  ขนาดมีการทดสอบกันเลย  ไม่รู้จริงก็ยกย่องสรรเสริญตามศรัทธาของตัวเอง
                บูรพาจารย์  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  มารดาบิดาบุตรทั้งหลายในตระกูลใดบูชาแล้วภายในเรือน  ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีพรหม  มีบูรพาจารย์  มีบูรพเทพ  มีอาหุเนยบุคคล, ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำว่าพรหม  บูรพาจารย์  บูรพเทพ  อาหุเนยบุคคลนี้เป็นชื่อของมารดาบิดา  ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะมารดาบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก  เป็นผู้ประคบประหงมเลี้ยงดูบุตร  เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร (สพรหมสูตร ๓-๕๑๐ และพรหมสูตร ๓-๓๔๕)
                พิจารณาเรื่องบิดามารดาเป็นอรหันต์ของลูก  เหมือนว่าจะไม่สำคัญ  คนส่วนใหญ่ก็คิดกันเช่นนี้  แต่ก็เป็นเครื่องชี้ภูมิธรรมของผู้ถ่ายทอดได้ดี  เช่นเดียวกับผู้ที่วิจารณ์เรื่องภิกษุสันดานกา เมื่อไม่รู้จริงก็แสดงความเห็นแบบผิดๆหรือเข้าข้างตัวเอง