วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๒๖ นิพพานด้วยปัญญา (๑๐) สรุปว่านิพพานอยู่ตรงไหน

เพิ่มคำอธิบายภาพ
http://www.deviantart.com/ ...
สรุป นิพพานอยู่ไหน
    มาถึงบทสรุปว่านิพพานอยู่ไหน ในหลายคำถามหลายคำตอบในเว็บต่างๆที่คนอยากรู้เข้าไปดูข้อมูลบ้าง เข้าไปตั้งกระทู้ถามหรือแม้แต่จะอธิบายว่า นิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหน มีการอ้างตำราอ้างคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ ว่านิพพานอยู่ตรงไหนมีลักษณะอย่างไร
   ถ้าใครเปิดหน้าเว็บแล้วเจอหน้านี้ก่อนโดยยังไม่ได้อ่านบทความต้นๆ อาจจะทำให้เข้าใจได้ยาก คงต้องไปอ่านบทต้นๆก่อน เพื่อให้รู้ถึงธรรมเบื้องต้น ที่ผมต้องการแสดงให้รับรู้จนมาถึงบทสรุปตอนนี้
    บทความที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ อาจจะไม่ได้อธิบายไว้ว่านิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหนหน้าตาเป็นยังไง แต่ผมจะอธิบายให้นักปฏิบัติพอจะมองเห็นหนทางได้บ้าง
   โลภ โกรธ หลง ๓ ตัวนี้ ตัวหลงเป็นตัวที่ตัดได้ยากที่สุด เพราะแม้แต่พระโสดาบันก็ยังหลง คือหลงมาเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ อย่างกลาง ๓ ชาติ อย่างน้อย ๑ ชาติ(พระโสดาบันมี ๓ ระดับ) พระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีก ๑ ชาติ ส่วนพระอนาคามีไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะท่านจะไปสำเร็จพระอรหันต์อยู่บนพรหมชั้นสุทธาวาส
  ผมได้เขียนเรื่องนิโรธสมาบัติไปแล้วและไม่คิดว่าจะมีใครมาแอบอ้างเรื่องนี้กันอีก คือไม่กี่วันนี้ผมเห็นข้อความในเว็บหนึ่ง บอกว่าอาจารย์ของเขาจะเข้านิโรธกรรม การเข้านิโรธกรรมเป็นยังไงและเมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้วในวันที่เขากำหนด ก็มีการเชิญชวนผู้มีศรัทธาไปทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธกรรมซึ่งมีอานิสงส์มาก แล้วก็เอาเรื่องนิโรธสมาบัติที่มีพระท่านได้เขียนรายละเอียดบอกไว้ว่า ใครได้ถวายทานกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วอธิษฐานสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นในวันนั้น เช่นอยากถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ ๑ แจ็คพอตด้วย ก็จะสมหวังในคราวนั้น อยากจะเป็นเศรษฐีก็จะได้เป็น ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะคนที่จะสมหวังจริงจะมีได้เพียงคนแรกคนเดียวเท่านั้น การจะเข้านิโรธสมาบัติต้องได้พระอนาคามีเป็นขั้นต่ำและสำเร็จอรูปฌานชั้นสูงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน(มีอยู่ในเรื่องทาน) ในอดีตพระราชากิงกิสสะจึงมีประกาศห้ามผู้ใดไปถวายทานพระกัสสปพุทธเจ้าก่อนพระองค์ แต่โพธิอำอามย์ฝ่าฝืนคำสั่งจนถูกประหารชีวิต
    มีนักปฏิบัติจำนวนมากอยากไปนิพพาน แต่ตัวเองยังกิน นอน อยู่ที่บ้านแล้วอย่างนี้จะไปนิพพานได้ยังไงกัน เพราะผู้ที่จะไปนิพพานได้ต้องสละทางโลกให้ได้ก่อน คือต้องออกบวช การจะเข้าถึงนิพพานได้ต้องสำเร็จพระอรหันต์ก่อนแต่การที่จะสำเร็จพระอรหันต์ก็ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ซึ่งในสังโยชน์ ๑๐ ต้องตัดกามฉันทะ คือความพอใจใน รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัสและอารมณ์ ซึ่งตัวอารมณ์ตัวนี้คือตัวกามราคะ การยินดีในรสกามการเสพสุขจากการสัมผัสฝ่ายตรงข้ามการร่วมประเวณีกัน ในเมื่อตรงนี้ยังตัดไม่ได้ก็อย่ามาพูดเรื่องว่าจะไปนิพพานเลย จิตใจไม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวทำไม่ได้หรอก
   นิพพานคือความว่างเปล่า ก็มาพิจารณาถึงความว่าง เมื่อมีอะไรมากระทบก็คิดว่ามันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ถ้ามันว่างเปล่าแล้วจริงๆจะไปทุกข์กับมันทำไมเพราะมันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า แต่ความสว่าง แสงสีขาว อากาศธาตุ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน อาจจะกลายเป็นว่าไปติดนิมิตแล้วทำให้หลงเช่นเดียวกับพระดาบสฤๅษีทั้งหลายที่ติดรูปฌาน  ถ้าพิจารณาความว่างเป็นอารมณ์เหมือนอารมณ์นิพพานก็ไม่ถูกต้อง เพราะอารมณ์นิพพานเป็นอารมณ์ที่ว่างจากกิเลสตัณหาทั้งปวง  ถ้าผู้สอนจะบอกว่าวิธีพิจารณาแบบนี้เป็นทางลัด ถ้าเป็นทางลัดจริงพระพุทธองค์ทำไมจึงตรัสสอนว่า ไม่ละสังโยชน์แล้วจะทำนิพพานให้แจ้งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้(ฐานสูตรหรืออารามสูตร ๔-๓๓๑) แม้การพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ก็ต้องละสังโยชน์เช่นกัน ที่สุดของการพิจารณาคือรักษาจิตตัวเดียวก็ต้องละสังโยชน์ให้ได้ ตามระดับชั้นของพระอริยะ  ไม่มีทางลัดที่จะไปนิพพานหรือสำเร็จนิพพานได้ มันต้องเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกับการพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท หรือแม้แต่การละสังโยชน์ ๑๐  ต้องละสังโยชน์ที่ ๑ ก่อนแล้วมา ๒ และ๓... จะละสังโยชน์ ๒ แล้วมา ๑ และ ๓ ไม่ได้ เช่นเราบอกว่าเราไม่ลังเลสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย จากนั้นมาพิจารณาเพื่อจะละตัวสักกายทิฐิหรือตัวสีลัพพตปรามาสไม่ได้ ความจริงการละสังโยชน์ ๓ เพื่อบรรลุพระโสดาบันนั้นก็มีบอกถึงวิธีพิจารณาไปแล้ว(ถ้าได้อ่านบทความทั้งหมด)

     ตอนแรกพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า สวรรค์และนรก เปรตอสุรกาย เป็นยังไง จนพระโมคคัลลานะไปท่องนรกสวรรค์มาแล้วและมากราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบ พระพุทธเจ้าก็ยอมรับว่ามีจริงอย่างที่พระโมคคัลลานะเห็นมาทุกประการ และเรื่องเปรตพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารมาขอส่วนบุญ แต่ไม่มีข้อมูลว่าพระโมคคัลลานะไปท่องแดนนิพพานมา แม้แต่พระมาลัยหรือพระอุปคุตก็ไม่สามารถไปแดนนิพพานเพื่อไปชื่นชมพระบารมีของพระพุทธเจ้าได้ พระอุปคุตยังต้องให้พระยามารแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้าให้ดู แล้วถ้ามีใครมาบอกนักปฏิบัติว่าตัวเขาหรืออาจารย์ของเขาซึ่งเป็นพระที่มีชื่อเสียงคนรู้จักทั้งประเทศได้ไปพบพระพุทธเจ้าและได้สนทนาธรรมมาด้วย ท่านจะเชื่อเขาและอาจารย์เขาหรือไม่
     การที่ชาวพุทธทั้งหลายรู้ธรรมกันมาก แต่ใช่ที่จะเข้าถึงธรรมกันได้มาก การเข้าถึงธรรมในเบื้องต้นก็คือการเป็นอุบาสกอุบาสิกา แม้จะมีคนพูดกันมากแต่ในข้อปฏิบัติแล้วผมยังเห็นว่ายังไม่ได้เป็นอุบาสกอุบาสิกาอย่างแท้จริงเป็นแต่ทายกทายิกาเท่านั้น และการที่จะเข้าถึงธรรมที่สูงขึ้นและละเอียดกว่านี้ยังมีน้อยมาก ถ้าจะพิจารณาถึงสาเหตุก็คือการสร้างบุญบารมียังไม่เต็ม พระสาวกทั้งหลายต้องสร้างบารมีอย่างน้อย แสนมหากัป โดยนับตั้งแต่การได้ถวายทานต่อพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วปรารถนาการพ้นทุกข์ทั้งปวงคือการสำเร็จพระอรหันต์ หลังจากนั้นก็ค่อยๆสร้างปัญญาบารมีมาเรื่อยๆจนครบ เมื่อครบแล้วก็จะได้บรรลุธรรมในที่สุด ซึ่งการบรรลุธรรมก็แตกต่างกันไปว่าจะบรรลุเวลาไหน เมื่อไร ฟังธรรมจากใคร  แต่ถ้าบารมียังไม่เต็มขั้นการศึกษาธรรมก็เป็นการสะสมบารมีไปเรื่อยๆจนกว่าจะเต็ม ปัจจุบันมีคนที่เคยอธิษฐานที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การบรรลุธรรม การได้ดวงตาเห็นธรรม ที่สุดการเข้าถึงมรรคผลนิพพาน และก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยอธิษฐานเลย เพราะความหลงยึดติดอยากมาเกิดใหม่แต่ให้ดีกว่าเดิม ผมจึงว่าคนที่เคยอธิษฐานบารมีมาแล้วไม่ว่าจะปรารถนาพุทธภูมิคือการมาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป หรือปรารถนาเพียงสำเร็จพระอรหันต์ก็ตาม ถ้าบารมียังไม่เต็มขั้นก็มิอาจสำเร็จได้ คงเวียนว่ายตายเกิดจนกว่าจะถึงเวลา แต่การปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นการสร้างบารมีนั้นคงดำเนินต่อไป ตราบใดที่ยังไม่บรรลุธรรมแม้ขั้นต้นเช่นพระโสดาบัน บุคคลเหล่านั้นมีสิทธิ์ตกนรกได้ทุกคน แม้พระโพธิสัตว์ก็เคยตกนรกมาแล้ว เช่นนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงพยากรณ์เพียงผู้ที่บรรลุธรรมแล้วเท่านั้น ว่าเกิดตายอีกไม่เกินกี่ชาติ แต่บุคคลที่ยังไม่บรรลุธรรมพระพุทธองค์ไม่ทรงพยากรณ์ เพราะปุถุชนทั้งหลายแม้จะเคร่งในศีลแต่หากมีเหตุปัจจัยขึ้นมาก็สามารถล่วงศีลได้แต่กับพระอริยะบุคคลนั้นไม่มี
     พระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีน้อยที่สุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป แต่ก่อนที่ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์นั้นมีกำหนดเวลาต่างกันคือ  ปัญญาธิกะโพธิสัตว์ สร้างบารมีด้วยนึกในใจว่า เราจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ๗ อสงไขย นับแต่ออกปากว่า ขอให้เราเป็นพระพุทธเจ้าเจ้านั้น ๙ อสงไขย นับแต่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วนั้นอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป รวมเป็น ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป
     สิทธิกะโพธิสัตว์ ปรารถนาในใจว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๑๔ อสงไขย นับแต่ได้ออกปากแล้ว ๑๘ อสงไขย นับแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ ๘ อสงไขยแสนมหากัป รวมเป็น ๔๐ อสงไขยแสนมหากัป
     วิริยาธิกะโพธิสัตว์ ปรารถนาว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ ๒๘ อสงไขย นับแต่ออกปากไปแล้ว ๓๖ อสงไขย ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ๑๖ อสงไขยแสนมหากับ รวมเป็น ๘๐ อสงไขยแสนมหากัป
    ความยืดยาวของสังสารวัฏที่เวียนว่ายตายเกิดของผู้ที่ยังหลงอยู่ ผู้ที่ยังมองไม่เห็นทางธรรม ผู้ที่ยังไม่มีความปรารถนาที่จะหลุดพ้น ผู้ที่ยังไม่ปรารถนาทางนิพพาน ยังคงเวียนว่ายตายเกิดรับกรรมไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ แม้นางปฏาจารีจะสำเร็จพระอรหันต์ในชาตินั้น พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า น้ำตาของเธอมากกว่าน้ำในมหาสมุทร ที่เธอต้องทุกข์ทรมานจากการเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน แล้วผู้ที่ยังไม่ปรารถนาทางนิพพานน้ำตาของเขาจะมากมายแค่ไหน
    พระศรีอารย์ได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าพุทธโคดมพระพุทธเจ้าในสมัยนี้ พระศรีอารย์ก็เป็นพระรูปหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง ตอนที่พระนางปชาบดีโคตรมีจะถวายผ้าไตรต่อพระพุทธเจ้า พระศรีอารย์ในเวลานั้นไม่ได้มีความรอบรู้แตกฉานในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่สามารถจะบรรลุธรรมใดๆได้ ถ้าหากท่านบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วเช่น สำเร็จพระโสดาบัน ท่านก็ไม่สามารถที่จะมาส้ำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปได้ เพราะท่านบรรลุธรรมขั้นต้นแล้วจากคำสอนของพระพุทธเจ้าพุทธโคดม ดังนั้นท่านจะมาตรัสรู้เองไม่ได้แล้ว  มีหมอดูชื่อดังเคยพูดออกรายการทีวีหลายครั้งหลายหนว่า การแก้เคล็ดเสริมดวงเสริมบารมีของคนเกิดปีนั้นปีนี้ ควรไปสักการะอะไรบ้าง โดยมีพระราหูหรือพระอสุรินทราหูรวมอยู่ด้วย หมอดูผู้นั้นบอกว่าพระอสุรินทราหูมีความเย่อหยิ่งทะนงต้นว่ามีร่างกายใหญ่โตไม่มีใครเทียบได้ ทำให้ไม่เกรงกลัวใครหรือแม้แต่ที่จะเคารพพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ร่างกายใหญ่กว่าพระอสุรินทราหูหลายเท่านัก จนพระอสุรินทราหูลดความมานะทิฐิของตัวเองและยอมฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เมื่อฟังจบก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน หมอดูผู้นั้นพูดต่อไปว่าพระอสุรินทราหูท่านนี้จะมาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนามว่าพระอสุรินทราหูเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ต่อจากพระศรีอารย์  ดูจะเป็นความเข้าใจผิดอย่างมากที่พระราหูสำเร็จพระโสดาบันแล้วจะมาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไรกัน ความจริงเรื่องชื่อนั้นมีซ้ำกันมากจนเกิดความเข้าใจผิดก็ได้ ดังนั้นเวลาที่คนมีชื่อเสียงหรือแม้แต่พระก็ดีมาพูดเรื่องต่างๆโดยเฉพาะธรรม เราควรจะพิจารณาไม่ยึดติดตัวบุคคลหรือแม้แต่เป็นอาจารย์ของเรา ที่เขียนตรงนี้ผมต้องการชี้ให้เห็นความเข้าใจความละเอียดของธรรม ถ้ารู้ไม่จริงแล้วไปบอกผู้อื่นอาจจะเป็นการสร้างกรรมให้ตัวเอง
    ธรรมที่ละเอียดอ่อนถ้าไม่มั่นใจก็อย่าพูดออกไป หรือศึกษาไม่รู้จริงก็ควรฟังผู้อื่นบ้าง
     ผมเคยอ่านธรรมของผู้หญิงคนหนึ่งในเฟสบุ๊ค ก็ดูดีมีประโยชน์ แต่อ่านไปเห็นข้อผิดพลาด ๒ ตอน ในเรื่องเดียวกัน ผมไม่ได้คอมเม้นกลับไปแต่เขียนบทความขึ้นใหม่เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องแล้วแชร์ออกไปในกลุ่มเพื่อน แต่ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะไม่ยอมรับเหตุผลที่ผมเขียนไป เลยตัดผมออกจากเพื่อนกลุ่มของเขา ตรงนี้พอจะเห็นว่าเขายึดติดกับอาจารย์ของเขามากไปและคิดว่าผมเป็นเพียงมนุษย์เดินดินที่ไม่ใช่พระที่มีชื่อเสียงที่เขาจะยอมรับได้...
     มีเว็บธรรมเว็บหนึ่งมีคนตั้งกระทู้ขอความรู้ทางธรรมเพื่อแก้ปัญหาชีวิตให้แก่ตัวเอง มีคนจำนวนมากที่ประสบปัญหาชีวิตมากมายได้โพสข้อความของตัวเอง เพื่อขอความคิดเห็นของผู้อื่น ก็หลายคนต่างความคิดมาช่วยกัน มีอยู่หลายคนได้สละเวลาตัวเองมาช่วยตอบปัญหาช่วยผู้อื่น มีอยู่คนหนึ่งสะดุดความคิดผมมาก ผมเองไม่ได้อ่านปัญหาของคนอื่นมากมาย เพียงเข้าไปศึกษาการตั้งกระทู้ตอบกระทู้เขาทำยังไงกัน กระทู้ที่ผมจะตั้งควรจะไปอยู่ตรงไหน เผอิญผมเห็นผู้ตอบกระทู้คนหนึ่งได้ช่วยตอบแก้ปัญหาให้คนอื่นในหลายกระทู้ แต่มีข้อความหนึ่งที่เขาบอกว่า ปัญหาของคุณแม้พระพุทธเจ้ายังดำรงชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถช่วยได้ ผมอ่านแล้วอยากจะช่วยเขา ถ้าเขายอมรับก็ดีถ้าไม่ยอมรับก็จะถกเถียงกันไม่รู้จบ จะอ้างตำรา อ้างครูบาอาจารย์เป็นเรื่องกันใหญ่  ที่อ่านดูเขาก็ใช้ธรรมได้ดี แต่การพูดเช่นนั้นไม่สมควร เป็นการหมิ่นความสามารถของพระพุทธองค์ เป็นการสร้างกรรมโดยไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ๒ เรื่องนี้เป็นเหตุที่ทำให้ผมไม่อยากไปยุ่งกับผู้อื่น ผมตั้งกระทู้เองให้ผู้อื่นที่มีปัยหาเข้ามาถามดีกว่าและเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็นแนวทางปฏิบัติของผู้ที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ
     คนที่ไม่ยอมรับความคิดเห็นคนอื่นเพราะไปหลงยึดติดกับคำสอนของครูบาอาจารย์ก็มีมาก ทำให้ผมเขียนบทความนี้มาเพื่อเป็นหนทางพิจารณาสำหรับผู้ที่สนใจหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไว้พิจารณา ว่าสิ่งใดควรเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องใช้ปัญญาและวิจารณญานของตัวเองด้วย ไม่มีใครสามารถบังคับให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาพูดได้ อยู่ที่ตัวเราจะหาเหตุผลว่าควรเชื่อหรือไม่
    มาดูคำว่านิพพานอยู่ไหนต่อไป
       นิพพาน พระสารีบุตรกล่าวว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ นี้เรียกว่านิพพาน ฯลฯ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นมรรคาปฏิปทาเพื่อกระทำนิพพานนั้นให้แจ้ง (นิพพานปัญหาสูตร ๖-๔๒๖)ดูก่อนภิกษุทั้งหลายโพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว ฯลฯ เพื่อนิพพาน (นิพพานสูตร ๓-๑๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาท ๔ นี้ฯ (นิพพุตสูตร ๓-๑๑๒) ดูก่อนถิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการคือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุและ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์หลุดพ้นแล้วเพราะความรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ ความสิ้นไปแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุนั้นเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภิกษุเป็นพระอรหันต์ขีณาสพจบพรหมจรรย์ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้ของภิกษุนั้นเป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหาเป็นต้น ให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (ธาตุสูตร ๕-๒๖๐) ดูก่อนพราหมณ์แม้ด้วยเหตุผลดังนี้แล นิพพานย่อมเป็นคุณชาติอันผู้บรรลุพึงเห็นเอง (นิพพตสูตร ๗-๒๘๓)
     นิพานปัญหา ปริพาชกชื่อชัมพุกขาทกะเป็นผู้ถาม พระสารีบุตรเป็นผู้ตอบ
ช.  ที่ว่านิพพาน ๆ ดังนี้ นิพพานเป็นไฉนหนอ
ส.  ความสิ้น ราคะ โทสะ โมหะ เรียกว่า นิพพาน
ช.  มรรคามีอยู่หรือ
ส.  มีอยู่ คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ฯลฯ (นิพพานปัญหาสูตร ๖-๔๒๖)
        พระพุทธเจ้าจะสอนการพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เรื่องอดีตไม่ควรอยากรู้เกินไป เมื่อรู้แล้วอาจจะไปยึดติดว่าในอดีตเราเป็นผู้มีวาสนาบารมีเป็นเจ้าผู้ครองแผ่นดิน มีข้าทาสบริวารมากมาย พอมาปัจจุบันยังคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้นอยู่ ก็จะใช้อำนาจที่ไม่มีอยู่จริงเที่ยวสั่งคนนั้นคนนี้ให้ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ที่สุดก็จะเป็นบ้าเสียสติไป เพราะหลงยึดติดในอดีต หรือคิดถึงเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หวาดวิตกและกังวลเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะภัยธรรมชาติที่มีหลายอาจารย์หลายสำนัก ทำนายว่าจะเกิด น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิถล่ม ฯลฯ ในวันนั้นวันนี้ โลกจะแตก อุกาบาตรจะวิ่งชนโลก พายุสุริยะ จะเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กโลก ดินฟ้าอากาศแปรปรวน เรื่องอย่างนี้จะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติและเข้าใจธรรมดีพอ เราจะไม่วิตกกังวลต่อเรื่องเหล่านี้ เพราะเมื่อถึงเวลาใครๆก็หนีความตายไม่พ้น แต่ก่อนตายให้มีสติ มีครูบาอาจารย์เกือบทุกท่านที่สอนไว้ให้พิจารณาตายก่อนตาย  เพราะเวลานั้นมาถึงจริงๆเราจะไม่ประมาท ไม่วิตกกังวลในเรื่องอื่น พิจารณาสภาพธรรมความเป็นจริง
      มาถึงเวลานี้แล้วถ้าจะให้บอกว่านิพพานอยู่ตรงไหน ก็คงบอกได้แต่ว่ามันเป็นเรื่องปัจจัตตังรู้เฉพาะตัว และจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อตัด ราคะ โทสะ โมหะ สิ้นแล้วเท่านั้น เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ถ้าผู้ปฏิบัติยังมีความลังเลสงสัยอยู่ก็เหมือนการว่ายน้ำในอ่างหาทางออกไม่เจอ ความลังเลสงสัยเป็นสังโยชน์ตัวที่ ๒ ที่ต้องตัดให้ได้ แต่ต้องตัดสังโยชน์ตัวที่ ๑ ให้ได้ก่อน(มีบอกไว้แล้ว)
       ผมไม่เสียทีที่เกิดในดินแดนที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่ซึ่งถือเป็นมงคลอย่างหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการ ผมได้รู้และเข้าใจธรรมของพุทธองค์ที่จะไม่ทำให้ชีวิตตกต่ำและมีชาติกำหนดแล้ว ผมได้เขียนบทความถ่ายทอดความรู้ทางธรรมที่รู้ให้แก่ผู้อื่นที่ควรรู้ไว้เป็นหลักในการพิจารณาต่อไป ส่วนผู้อ่านจะเข้าใจได้แค่ไหนก็อยู่ที่ปัญญาของแต่ละบุคคล ซึ่งก็เขียนบอกไว้แล้วเช่นกัน ส่วนผมได้ทำหน้าที่ของพุทธบุตรครบถ้วนแล้ว
        เมื่อเหตุและปัจจัยพร้อม เมิ่อนั้นก็บรรลุธรรมได้ไม่ยาก
        ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพูทธเจ้า
                                                                  
                                                                                                                       มะมะปุตโต
   

ไม่มีความคิดเห็น: