วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๒๕ นิพพานด้วยปัญญา (๙) ไหว้พระ ๘ นิ้ว

                                                                                                                                     
เจ้าตอบปัญหา
                มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งมีประวัติของพระศรีอริยเมตไตรย  และการตอบปัญหาของเทพองค์หนึ่งเป็นการประทับทรง  เทพองค์นี้เป็นของทางจีนเขาในที่นี้เรียกว่าเจ้าพ่อตามเขา  มีการถามตอบอยู่หลายหัวข้อ  จะยกตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องมาให้ดู
ถาม คนปล้นฆ่าชิงทรัพย์  ตายแล้วจะได้เกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า
ตอบ ไม่มีทางได้ผุดเกิดอีก
ถาม  ผู้ที่ตกนรกอเวจี  จะไม่ได้ผุดเกิดอีกตลอดกาลใช่หรือเปล่า
ตอบ  ผู้ที่ตกนรกอเวจี  เป็นพวกทำบาปหนัก  หมดโอกาสเกิดเป็นคนอีก  แต่ถ้ายมบาลพิพากษาให้ไปเกิดเป็นสัตว์ได้  แต่เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว  ก็ต้องกลับไปเสวยทุกข์ทรมานในอเวจีอีกตลอดไป
ถาม  ถ้าจะหวังบรรลุมรรคผล  ต้องเข้านับถือศาสนาใด
ตอบ  ไม่ว่าศาสนาใด  หากมีความเพียรในการขัดเกลาจิตและหมั่นบำเพ็ญทานบารมีจนครบสมบูรณ์  ย่อมสามารถบรรลุมรรคผลได้ทั้งสิ้น
ถาม  ถ้าหวังจะบรรลุพุทธะควรนับถือศาสนาใด
ตอบ : ไม่ว่าศาสนาใด  แม้วิธีปฏิบัติต่างกัน  แต่หลักการเหมือนกัน  คือ ต้องทำดีละชั่ว  บำเพ็ญศีล  สมาธิ  ปัญญา  จนจิตผ่องใสปราศจากกิเลสตัณหา
                นี่ยกปัญหาถามตอบบางส่วนที่ค่อนข้างเห็นชัดเจนมาให้รู้กัน  คนเราแม้จะทำกรรมชั่วขนาดไหนเมื่อตกนรกแล้ว  ก็สามารถมาเกิดเป็นคนได้อีก  จะช้าหรือเร็วต่างกัน  พระเทวทัตทำอนันตริยกรรม  คือ  ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตห้อขึ้นและยังทำให้สงฆ์ต้องแตกแยก  เป็นกรรมหนักห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน
                พระเทวทัตถูกธรณีสูบรับกรรมในนรกอเวจี  ตลอดกัป  ขณะที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบจมลงในแผ่นดิน  ในเวลาที่กระดูกคางจรดถึงพื้นดินพระเทวทัตกล่าวว่า  ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็นที่พึ่งด้วยกระดูกเหล่านี้  พร้อมด้วยลมหายใจ  จากการสำนึกผิดในวาระจิตสุดท้าย  ในอนาคต  พระเทวทัตจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
                ธรรมวินัยมีมรรคมีองค์ ๘ ดูกรสุภัททะ  ในธรรมวินัยใดไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘  ในธรรมวินัยนั้น  ไม่มีสมณะ  ที่ ๑   ที่ ๒  ที่๓  ที่๔ ธรรมวินัยใดมีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘  ในธรรมวินัยนั้นมีสมณะที่ ๑-๔ นั้น (มหาปรินิพพานสูตร ๑-๗๔)
                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สมณะที่ ๑ มีศาสนานี้เท่านั้น  สมณะที่  ๒ ๓ ๔  ก็เช่นเดียวกัน  ลัทธิของศาสนาอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง  ฯลฯ  ( จูฬสีหนาทสูตร  ๗-๓๔๓ )
                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้  เพราะสิ้นสังโยชน์  ๓  เป็นเพราะโสดาบัน  มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา  เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ภายหน้า  นี้เป็นสมณะที่ ๑  เพราะสิ้นสังโยชน์  ๓  เพราะราคะโทสะโมหะเบาบาง  เป็นพระสกิทาคามีมาสู่โลกนี้คราวเดียว  กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  นี้สมณะที่ ๒  เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์  เป็นอุปปาติกะ ( พระอนาคามี )  จักนิพพานในภพนั้น  มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดานี้  สมณะที่  ๓  ภิกษุในธรรมวินัยนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ ( พระอรหันต์ขีณาสพ ) นี้เป็นสมณะที่ ๔  ( ๔-๖๓ )
               โอรัมภาคิยสังโยชน์  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯ  สักกายทิฐิเป็นของมีกำลังอันปุถุชนบรรเทาไม่ได้นั้น  ชื่อว่าเป็นโอรัมภคิยสังโยชน์  เช่นเดียวกับวิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส  กามราคะ  และพยาบาท ฯ   ดูก่อนอานนท์  ข้อที่ว่าบุคคลไม่ต้องอาศัยมรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภคิยสังโยชน์ได้นั้น  ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ  (มหามาลุงโกยวาทสูตร  ๑-๓๓๒ )
                หมายถึงศาสนาอื่นไม่มีมรรคมีองค์ ๘  ไม่มีสมณะที่ ๑ โสดาบัน  สมณะที่ ๒  สกทาคามี   สมณะที่ ๓  อนาคามี  สมณะที่๔ อรหันต์
                ดังนั้นเจ้าพ่อจะบอกว่าศาสนาไหนก็เข้าถึงมรรคผลได้  แสดงว่าเจ้าพ่อไม่รู้เรื่องอะไรเลย  แม้จะมีผู้แปลคำถามคำตอบ  ผู้แปลก็ไม่เคยศึกษาหลักธรรมของศาสนาพุทธด้วย  เพราะถ้าศึกษาดีแล้วก็คงไม่กล้าจะเผยแผ่หลักธรรมที่ไม่ถูกต้อง
                หนังสือในลักษณะเช่นนี้มีอยู่มาก  ในเบื้องต้นก็มีบอกไปแล้วเหมือนกัน  มันขัดต่อหลักธรรมที่แท้จริงหลายอย่าง  แต่คนที่ไม่เข้าใจก็หลงตามเขาไป  เพราะการชักจูง  การช่วยเหลือ และรูปแบบของการปฏิบัติ  ทำให้ถูกโน้มน้าวคล้อยตามไปกับเขา  บ้างก็ออกมาจากกลุ่มคนลัทธิความเชื่อย่างนั้นของเขาได้  บ้างก็หลงยึดติดไปเลย
                มีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระอรหันต์อยู่เรื่องหนึ่ง  ต้นเหตุน่าจะเกิดจากพระสงฆ์ที่ท่านยังไม่เข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริง  แล้วก็เที่ยวเทศน์ไปอย่างนั้น  จนพระหลายรูปก็เทศน์ตาม  เช่นเดียวกับชาวบ้านที่นำไปสั่งสอนแบบผิดๆ
                คล้ายกับเรื่องชำระหนี้สงฆ์  หาบุคคลแรกไม่ได้ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร  ใครเป็นผู้บัญญัติขึ้นมา  เรื่องของเรื่องก็คือ  บิดามารดาเป็นอรหันต์หรือพระอรหันต์ของลูก  การกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  เป็นการพูดที่ไม่เข้าใจหลักธรรม  เพราะคำว่าพระอรหันต์  หมายถึง บุคคลที่ดับเหตุและปัจจัยที่จะทำให้มาเกิดอีก  แต่พ่อแม่ของเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้เท่าไหร่  เพราะถ้าท่านเป็นอรหันต์ในขณะนั้น  ท่านจะทำให้เราเกิดได้อย่างไร
                พระคุณของบิดามารดาจะมากมายเพียงใดก็ตาม  แต่ก็ยังไม่ได้เป็นอรหันต์ของลูก  เหมือนกับคนบางคน  บางกลุ่ม  บางพวก  ยกย่องว่าเทพองค์นั้นองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์  โดยขาดการศึกษาธรรมะให้ถ่องแท้  และบางพวกบางคนก็ว่าตามเขาไป  เช่นเดียวกับการที่จะยกย่องว่าพระรูปนั้นพระรูปนี้เป็นอริยะสงฆ์หรืออรหันต์  ขนาดมีการทดสอบกันเลย  ไม่รู้จริงก็ยกย่องสรรเสริญตามศรัทธาของตัวเอง
                บูรพาจารย์  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  มารดาบิดาบุตรทั้งหลายในตระกูลใดบูชาแล้วภายในเรือน  ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีพรหม  มีบูรพาจารย์  มีบูรพเทพ  มีอาหุเนยบุคคล, ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำว่าพรหม  บูรพาจารย์  บูรพเทพ  อาหุเนยบุคคลนี้เป็นชื่อของมารดาบิดา  ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะมารดาบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก  เป็นผู้ประคบประหงมเลี้ยงดูบุตร  เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร (สพรหมสูตร ๓-๕๑๐ และพรหมสูตร ๓-๓๔๕)
                พิจารณาเรื่องบิดามารดาเป็นอรหันต์ของลูก  เหมือนว่าจะไม่สำคัญ  คนส่วนใหญ่ก็คิดกันเช่นนี้  แต่ก็เป็นเครื่องชี้ภูมิธรรมของผู้ถ่ายทอดได้ดี  เช่นเดียวกับผู้ที่วิจารณ์เรื่องภิกษุสันดานกา เมื่อไม่รู้จริงก็แสดงความเห็นแบบผิดๆหรือเข้าข้างตัวเอง


                บารมีของผู้นำ
ในครั้งก่อนนั้น  มีพวกช่างไม้ไปพบช้างที่ถูกตอตำเข้าไปในเท้าตัวหนึ่ง  พวกช่างไม้ได้ช่วยกันถอนตอนั้นออก แล้วรักษาพยาบาลให้จนหาย  ช้างนั้นนึกถึงบุญคุณของพวกช่างไม้  จึงพาลูกช้างมาให้  ลูกช้างนั้นเป็นช้างเผือกขาวดังสำลี  แล้วช้างตัวนั้นก็หนีเข้าไปอยู่ในป่า
                อยู่มาวันหนึ่งฝนตกหนักน้ำป่าได้ไหลพาเอาขี้ช้างเผือกให้ไหลไปถึงท่าน้ำเมืองพาราณสี  พวกช้างหลวงได้กลิ่นขี้ช้างเผือกไม่กล้าลงน้ำ มีแต่จะวิ่งหนี  พวกควานช้างบังคับอย่างไรก็ไม่ได้  จึงนำเรื่องกราบบังคมทูลพระเจ้าพาราณสี  เมื่อพระองค์ทรงทราบจึงตรัสสั่งให้อำมาตย์ไปหาสาเหตุดู  แล้วอำมาตย์ก็ไปพบขี้ช้างเผือกเข้า จึงเอามาขยำกับน้ำ  แล้วพรมไปที่ช้างทั้งหลาย  ช้างเหล่านั้นจึงกล้าลงน้ำ  แล้วพระเจ้าพาราณสีมีรับสั่งให้อำมาตย์ไปค้นหาช้างเผือกตัวนั้น
                ฝ่ายอำมาตย์ก็ลงเรือทวนกระแสน้ำขึ้นไป  ในที่สุดก็พบช้างเผือกตัวนั้น  และได้ให้เงินกับสิ่งของหลายอย่างแก่พวกช่างไม้นั้น  แล้วพาช้างเผือกกลับมา
                พระเจ้าพาราณสีให้ทำพิธีเชิญช้างเผือกเข้าไว้ในโรงพระยาช้าง  และให้อภิเษกเป็นสหายของพระเจ้าพาราณสี  ต่อมาไม่นานพระเจ้าพาราณสีก็สวรรคต  ข่าวไปถึงพระเจ้าโกศลกรุงสาวัตถี  พระเจ้าโกศลจึงยกทัพมาล้อมเมืองเอาไว้
                ขณะนั้นพระอัครมเหสีกำลังมีพระครรภ์แก่ใกล้จะประสูติพอดี  จึงส่งสาสน์ออกไปถวายว่า  ขอให้รออยู่สัก ๗ วัน  พระอัครมเหสีประสูติก่อนจึงค่อยเจรจากัน  พอถึง ๗ วันก็ประสูติพระราชโอรสออกมา  ประชาชนทั้งหลายต่างก็ดีใจมีความฮึกเหิมต่อการที่จะสู้รบ
                ทหารและชาวเมืองยกกองทัพออกไปต่อสู้แต่ก็พ่ายแพ้กลับมา  เหล่าเสนาอำมาตย์จึงกราบทูลอัครมเหสีให้ทรงทราบว่า  ควรจะแจ้งเหตุ ๓ ประการ  คือ  การที่พระเจ้าอยู่หัวสวรรคต ๑   พระราชโอรสประสูติ ๑  ข้าศึกมาล้อมเมือง ๑  ให้พระยาช้างทราบ
                พระอัครมเหสีก็ทรงเห็นชอบแล้วทรงอุ้มพระโอรสเสด็จไปที่โรงพระยาช้าง  วางพระโอรสลงแทบเท้าพระยาช้าง  แล้วตรัสว่า  ข้าแต่พระยาช้างผู้เป็นพระสหายของพระเจ้าอยู่หัว  หม่อมฉันขอโทษที่ไม่ได้ทูลให้ท่านทรงทราบว่าพระสหายของท่านได้สวรรคตไปแล้ว ๗ วัน  นี่คือพระราชโอรสของพระสหายของท่าน  และบัดนี้พระเจ้าโกศลได้ทรงยกทัพมาล้อมเมืองเอาไว้  ไม่เห็นมีใครที่จะปกป้องเมืองไว้ได้  มีก็แต่ท่านเท่านั้น  ขอท่านได้ช่วยพระโอรสของสหายท่านด้วยเถิด
                เมื่อพระยาช้างได้ฟังดังนั้นแล้วก็ยื่นงวงลงไปอุ้มพระราชโอรสขึ้นไว้บนกะบองแล้วร่ำไห้  และส่งคืนให้พระอัครมเหสี  มีความ ตั้งใจที่จะจับพระเจ้าโกศลมาให้ได้  จึงออกหน้านำทัพออกไป  พอพ้นประตูเมืองเท่านั้น  พระยาช้างก็แผดเสียงดังกัมปนาทหวั่นไหวไปทั่วถึง ๓ ครั้ง  ช้างของข้าศึกก็หมอบราบลงหมด  พระยาช้างจึงวิ่งตรงไปจับพระเจ้าโกศลเข้าไปถวายพระราชกุมาร  และให้พระเจ้าโกศลทำสัตย์สาบานแล้วให้ปล่อยตัวไป
                สัตว์เดรัจฉานก็มีบารมี  เพราะสัตว์ทั้งหลายก็เคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อนทั้งนั้น  แม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน
                พระเจ้าธรรมาโศกราช
                ครั้งเมื่อพระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์  ราชอาณาจักรของพระองค์มีภายใต้พื้นดินประมาณ  ๑ โยชน์  บนอากาศประมาณ ๑ โยชน์  เทวดาทั้งหลายนำน้ำจากสระอโนดาตมาใส่หม้อน้ำสำหรับดื่ม  ๑๖ หม้อ ทุกๆวันๆละ ๘ หาบ  เพราะเหตุที่พระองค์ศรัทธาในศาสนา  ได้ถวายน้ำแก่พระภิกษุสงฆ์วันละ ๘ หม้อ  ถวายพระภิกษุที่ทรงไตรปิฎกประมาณ ๖๐ องค์ วันละ ๒ หม้อ  ให้ผู้เป็นอัครมเหสีวันละ ๒ หม้อ  พระองค์เองใช้ ๔ หม้อ  เทวดาทั้งหลายนำไม้สีพระทนต์ที่เป็นนาคลดานุ่มนวลอ่อนมีรส  มาจากป่าหิมพานต์ทุกๆวัน  พระราชา  พระมเหสี  คนฟ้อนรำหมื่นหกพันและภิกษุประมาณหกหมื่นได้ใช้ไม้สีฟันนาดลดานั้น  เทวดานำผลมะขามป้อม  ผลสมอที่เป็นยาและผลมะม่วงสุกสีเหมือนทองมีกลิ่นและรสมาถวายทุกวัน  เทวดานำมาซึ่งผ้านุ่งผ้าห่ม  ผ้าเช็ดมือสีเหลืองและน้ำทิพย์จากสระฉันทันตะ  พระยานาคนำเครื่องชโลมทาของหอม  ผ้าสีดอกมะลิไม่มีรอยเย็บด้วยเส้นด้ายสำหรับห่ม  และเครื่องป้ายตาอันสมควรจากพิภพนาคมาถวาย  นกแก้วทั้งหลายนำข้าวสาลีที่เกิดจากสระฉันทันตะนั่นเองทุกๆวันๆละเก้าพันหาบ  หนูเหล่านั้นปล้อนแกลบ  ข้าวสารแม้เมล็ดเดียวก็ไม่มีหัก  ผึ้งทั้งหลายทำน้ำผึ้ง  นกการเวกทั้งหลายมาคูขันเสียงไพเราะทำพลีกรรมแด่พระเจ้าอโศก 
ที่กล่าวมานั้นเป็นพระบารมีที่พระเจ้าอโศกได้สร้างมา  แม้ภายหลังได้นับถือพระพุทธศาสนา  ค้นหาพระบรมสารีริกธาตุ  และทรงสละทรัพย์  ๙๖ โกฏิ  ในวันเดียวเพื่อสร้างวิหารแปดหมื่นสี่พันหลังในแปดหมื่นสี่พันนครพร้อมด้วยพระเจดีย์
พระเจ้าอโศกยังตรัสเรียกยักษ์ผู้เป็นทาสมาใช้ให้ทำถนนหนทางให้ราบเรียบเพื่อต้อนรับพระสงฆ์เถระและคณะ  พระเจ้าอโศกโปรดให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓  แม้พระเจ้าอโศกจะสร้างถาวรวัตถุเพื่อพระพุทธศาสนาไว้มากมาย  พร้อมด้วยการบริจาคทานและอื่นๆ  พระองค์ก็ยังไม่ได้เป็นญาติกับพระศาสนา  จนกว่าจะได้บวชพระโอรสหรือพระธิดาของพระองค์
พระเจ้าอโศกทรงปรารถนาความเป็นพระทายาทในพระศาสนา  จึงตรัสถามพระกุมารถึงความสมัครใจที่จะบวชได้ไหม  ฝ่ายพระกุมารก็มีใจใคร่จะบวชอยู่แล้ว  ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าอโศกก็เกิดความยินดีปรีดาอย่างยิ่ง  แม้พระราชธิดาก็เช่นเดียวกัน  พระเจ้าอโศกทรงได้ดวงใจแห่งพระราชโอรสและพระราชธิดาแล้วมีพระหทัยร่าเริงยินดี  ที่พระองค์จักได้เป็นพระทายาทในพระศาสนา
ต่อมาเมื่อพระราชโอรสและพระราชธิดาได้บวชแล้ว  พระราชโอรสนั้นบรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาในโรงอุปสมบทนั่นเอง  ฝ่ายพระเจ้าอโศกทรงยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองและได้โปรดให้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓  ซึ่งในครั้งนั้นมีพระภิกษุ ๘๐ โกฏิ   เป็นพระอรหันต์หนึ่งแสน  มีภิกษุณี ๙๐ แสน เป็นพระอรหันต์หนึ่งพัน 
พระเจ้าธรรมาโศกราชได้ทรงให้มีการฉลองอย่างมโหฬาร  มีกำหนดงานนานถึง ๗ ปี  ๗ เดือนกับอีก ๗ วัน  และยังมีเรื่องพระอุปคุตต่อสู้กับพระยามารในครั้งนี้ด้วย  ผมได้เขียนเรื่องย่อไว้ในเรื่องสวรรค์ชั้นื้ ๖ (พระอุปคุต) 

บารมีพระจักรพรรดิ์
กล่าวถึงช้างป่าเลไลยก์ซึ่งเคยดูแลอุปัฎฐากพระพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบัน  อันว่าช้างป่าเลไลยก์ตัวนี้เป็นบรมโพธิสัตว์สร้างบารมีมาเป็นอันมาก  จักได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระสุมังคละ  ในอนาคตกาลเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่  ๑๐  นับจากพระศรีอริยเมตตรัย  พระสุมังคละทศพลญาณมีพระชนมายุประมาณ  แสนปีมีไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ์  ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่างดังสีทองประดุจกลางวัน  แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของและเครื่องประดับมากมาย  มนุษย์ทั้งหลายในศาสนาของพระองค์  มิได้ทำการกสิกรรม วานิชกรรม  ได้อาศัยต้นกัลปพฤกษ์นั้นเลี้ยงชีวิตของตน  มนุษย์ทั้งหลายเสพสุขเสมอเหมือนเทพบุตรเทพธิดา  พระสุมังคละสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ  จึงสำเร็จพระพุทธสมบัติดังนี้
กาลก่อนล่วงไปช้างป่าเลไลยก์ตัวนี้เป็นบรมโพธิสัตว์  บังเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพัตราธิราช  ทรงพระนามว่า  พระเจ้ามหาปะนาทบรมจักร  ในภัททะกัปนี้  บังเกิดมีแก้ว  ๗  ประการ  คือ  จักรแก้ว ๑  นางแก้ว ๑   แก้วมณีโชติ ๑   ช้างแก้ว ๑   ม้าแก้ว ๑  ปริยานก ๑  คหบดีแก้ว ๑  สมเด็จพระเจ้ามหาปะนาทบรมจักรได้เสวยสิริราชสมบัติอยู่ในทวีปทั้ง ๔  มีทวีปน้อย  ๒    พันเป็นบริวาร  ในครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้ามหาปะนาทบรมจักร  ได้ทรงทราบว่า  สมเด็จพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว
สมเด็จพระเจ้ามหาปะนาทบรมจักรจึงตรัสสั่งจักรแก้วให้ไปยังท้องสมุทร  เพื่อนำเอาดวงแก้วมณีมาให้เรา  จักรแก้วเหมือนมีจิตวิญญาณก็ไปนำเอาแก้วมณีมาถวาย  ตรัสสั่งช้างแก้วให้เหาะไปยังฉัททันตสระ  ไปพาช้างชาติฉัททันตะประมาณ ๘ หมื่นมาถวาย  ตรัสสั่งม้าแก้วให้เหาะไปยังริมฝั่งสินธพนทีให้พาม้าแก้ว  ๘ หมื่นตัวมาถวาย  แล้วตรัสสั่งนางแก้วพระราชมเหสีให้เหาะไปยังแคว้นอุดรกุรุทวีปพานางแก้วประมาณ ๘ หมื่นมาถวาย  ตรัสสั่งให้แก้วมณีโชติให้ไปยังเขาวิบูลบรรพตให้ไปนำแก้วมณีโชติประมาณ ๘ หมื่นมาถวาย  ตรัสสั่งปรินายกขุนพลแก้วให้เหาะไปยังทวีปทั้ง ๓  ไปถอดเอาดวงแก้วในยอดเขากำภูฉัตรมาถวาย  ตรัสสั่งคหบดีแก้วผู้เป็นขุนคลังให้เหาะไปยังโสฬสมหานครทั้ง ๑๖ เมือง  ไปนำดวงแก้วมณีมาถวาย
แก้วทั้ง ๗ ประการนำพาสรรพสิ่งทั้งหลายตามพระบัญชาของพระเจ้ามหาปะนาทบรมจักรมาครบทุกประการ  แต่ระหว่างทางคหบดีแก้วได้พบกับพระกุกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ฟังพระสัทธรรมจากพระพุทธองค์และได้ทำการจดบันทึกพร้อมพระรูปโฉมที่ประกอบไปด้วยทวัตติงสะมหาบุรุษลักษณะลงในแผ่นทองแล้วเหาะกลับมาถวายพระเจ้ามหาปะนาทบรมจักร
เมื่อพระเจ้ามหาปะนาทบรมจักรได้ทอดพระเนตรแผ่นพระสุพรรณบัฏ อันปรากฏพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้ากุกกุสันโธกับคำจารึกนั้น  แต่พระองค์ไม่ทรงทราบ  จึงตรัสถามต่อพราหมณ์ปุโรหิต  จนทรงเข้าพระทัยถึงคำจารึก  พระอิติปิโส  ภะคะวา  ว่าเป็นคุณอันวิเศษ  เป็นยอดคุณทั้งปวงหาที่ยิ่งกว่าไม่มี  อักษรนี้เป็นพระพุทธคุณอันเที่ยงแท้  สมเด็จพระบรมจักรมหาปะนาทได้ทรงถึงกับทรงพระกรรแสงสะอื้นสลบลงกับที่  เมื่อฟื้นพระองค์ขึ้นก็ตรัสถามปุโรหิตอีกว่า  คุณวิเศษนี้เป็นพระพุทธคุณจริงดังนั้นหรือ  พราหมณ์ปุโรหิตก็กราบทูลว่า  จริงดังนั้นเป็นพระพุทธคุณของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเที่ยงแท้  พระองค์ก็สะอื้นสลบไปเป็นครั้งที่ ๒   เมื่อฝืนพระองค์ขึ้นก็ตรัสถามปุโรหิตอีกว่ารูปภาพเป็นพระรูปจริงดังนั้นหรือ  ปุโรหิตก็กราบทูลว่าพระรูปโฉมนั้นเป็นพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้าเป็นจริงแท้  ทำให้สมเด็จบรมจักรมหาปะนาทถึงสลบสิ้นสติไปอีกเป็นครั้งที่ ๓
ครั้นเมื่อได้สติขึ้นมาจึงตรัสยกราชสมบัติให้แก่คหบดีแก้ว  ส่วนพระองค์ได้เสด็จออกจากพระมหาราชวังไปพระองค์เดียว  ไปถึงมหานิโครธไทรใหญ่ต้นหนึ่งแล้วพักอาศัยพอหายเหนื่อย  จากนั้นได้กระทำอธิษฐานถวายนมัสการตั้งความปรารถนา จะทรงบรรพชาแล้วอัฐบริขารทั้ง ๘ ก็ลอยมาหยุดลงตรงพระพักตร์  ด้วยรับสั่งขององค์สมเด็จพระกุกกุสันโธ 
พระองค์ได้ทรงครองจีวรบรรพชาเป็นพระภิกษุเสร็จแล้ว  จึงตรัสสั่งพระมกุฎแก้วให้ไปยังสำนักของพระพุทธเจ้า  เพื่อกราบทูลแจ้งข่าวแก่พระองค์  บัดนั้นมกุฎแก้วลอยไปในอากาศจนถึงสำนักของพระพุทธเจ้า  ตั้งอยู่แทบฝ่าพระบาทกราบทูลเหตุทั้งหลายแก่พระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าก็ตรัสรับว่า  สาธุ  ลำดับนั้นสมเด็จบรมจักรมหาปะนาทซึ่งทรงเพศเป็นบรรพชิตก็เที่ยวบิณฑบาตไปตามบ้าน  ได้อาหารพอควรแล้วจึงเสวย  เสร็จจากนั้นก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน  มีพระอิติปิโสภะคะวา  และพระกายคตากรรมฐาน  เป็นต้น  ได้สำเร็จโลกียะฌานแล้วเหาะไปยังสำนักพระพุทธเจ้า  เพื่อทอดพระเนตรพระพุทธลักษณะพระกุกกุสันโธ  อันงามพร้อมบริบูรณ์ทุกประการ  จนเกิดปิติไปทั่วสารพางค์กายและสลบลงในที่นั้น  พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้น้ำมาประพรมจนฟื้นขึ้นมา แล้วถวายนมัสการกราบลงแทบพระบาท  กราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนา  เมื่อพระมหาปะนาทหน่อพุทธางกูรได้ทรงฟังพระธรรมเทศนาแล้วให้เกิดปิติซาบซ่าน  จึงเด็ดพระเศียรเกล้าด้วยเล็บของพระองค์กระทำสักการบูชาแทบบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า  ฝ่ายพระเศียรเกล้านั้นก็กราบทูลว่า  ภันเต ภะคะวา  ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ได้โปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อนข้าพระบาท  ข้าพระบาทก็มีความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อภายหลัง  พอขาดคำสองข้อนั้นแล้ว  สมเด็จบรมจักรมหาปะนาทก็ดับขันธ์สวรรคตลง ไปบังเกิดยังดุสิตสวรรค์
ที่นำเรื่องทั้ง ๓ มาเขียนเพื่อแสดงให้เห็นถึงบารมีที่แตกต่างกัน  กว่าจะเกิดเป็นบารมีขึ้นมาได้  ต้องอาศัยการสร้างคุณความดีมากมาย  โดยเฉพาะพระพุทธเจ้า  อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสร้างบารมีถึงสี่อสงไขยกับแสนมหากัปและยังต้องถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาอยู่หลายชาติ  เช่นเดียวกับ  สุเมธฤๅษี   ซึ่งรายละเอียดก็มีเขียนไว้แล้วข้างต้น
เวลานี้มาดูผู้นำประเทศของเราบ้างก็มีการเลือกตั้งกันไปแล้ว  ใครจะได้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร  ขอให้คิดพิจารณาถึงเรื่องบุญบาปให้มาก  การจะเป็นนายกรัฐมนตรีเดี๋ยวนี้มากที่สุดก็แปดปี  ในแปดปีนี้สามารถสร้างบุญและบาปได้มาก
บารมีจะเป็นนายกรัฐมนตรีสร้างกันมาน้อยมากแปดปีก็หมดแล้ว  เมื่อเทียบกับเรื่องทั้งสามมีถึงตลอดชีวิต  ฉะนั้นเมื่อเป็นผู้นำเขาแล้วก็เร่งสร้างบารมีให้มากเพื่อผลภายภาคหน้า  อย่าคิดเห็นประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง  เพราะกรรมนั้นจะส่งผลแน่นอนไม่ว่าช้าหรือเร็ว  นี่เพราะความไม่เข้าใจเรื่องบุญและบาปมากพอ  มีเรื่องเล่าประกอบอีก ๒ เรื่อง
วัตร ๗ ประการของพระอินทร์
ก่อนที่จะได้เป็นพระอินทร์  เมื่ออดีตชาติพระองค์เกิดเป็นมนุษย์มีชื่อว่ามฆมานพอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ได้สร้างวัตรปฏิบัติ ๗ ประการคือ
๑.     การเลี้ยงดูบิดามารดาอยู่จนตลอดชีวิต  ข้อนี้นักการเมืองหรือคนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติกันอยู่และทำได้
๒.    การเคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูลอยู่ตลอดชีวิต  บางครั้งก็มีความโกรธที่ผู้ใหญ่เขาตักเตือน  ทำกริยามารยาทไม่เคารพผู้ใหญ่  วันรุ่นสมัยนี้เป็นมาก  นักการเมืองจะมีบ้างไหมหนอ
๓.    การกล่าววาจาอ่อนหวานอยู่ตลอดชีวิต  ข้อนี้หายากหน่อยในนักการเมืองปัจจุบัน
๔.    การไม่กล่าววาจาส่อเสียดยุยงผู้อื่นอยู่ตลอดชีวิต  ข้อนี้แทบจะหาไม่ได้  ดูจากการหาเสียงก็เห็นกันอยู่
ในข้อ ๓ และ ๔ จะอยู่ในศีลข้อมุสาคือนอกจากจะพูดจาอ่อนหวานแล้วต้องไม่กล่าวคำหยาบ  คำเพ้อเจ้อ และกล่าวคำเท็จหรือ  โกหกนั่นแหละ  ศีลข้อนี้สำหรับปุถุชนแล้วรักษาได้ยากมาก  แม้แต่พระอริยะขั้นโสดาบัน ยังมีการกล่าวเพ้อเจ้อบ้าง  แต่คำกล่าวเพื่อเป็นไปในทางบาปไม่มี  คือบุญก็ว่าบุญ  บาปก็ว่าบาป
๕.    การกำจัดความตระหนี่ให้ออกไปจากจิตใจและจำแนกแจกทานอยู่ตลอดชีวิต  ข้อนี้สำคัญนะ  ไม่ใช่จ่ายแจกทานโดยหวังผลคะแนนต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์
๖.     มีวาจาสัตย์อยู่ตลอดชีวิต  นักการเมืองเขาพูดกันว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร  ตอนแรกก็รับปากดีตอนหลังก็เปลี่ยนไปได้
๗.    ความไม่มีความโกรธอยู่ตลอดชีวิต  นักการเมืองคนไหนมีบ้างหนอ  ที่จริงคุณธรรม ๗ ประการนี่รวมไปถึงข้าราชการและบุคคลทั่วไปด้วย  เพราะเป็นข้อปฏิบัติของคฤหัสถ์
              พิจารณาข้อ ๓ และ ๔ต่อไป  มีเรื่องจำได้ว่า  ได้อ่านหนังสือเรื่องการระลึกชาติของสุนัขตัวหนึ่ง  ที่มีความจำฉลาดรอบรู้มาก  เจ้าของผู้ช่างสังเกต รู้ว่าสุนัขตัวนี้มีความเกี่ยวพันกับทหารมาก  ทำการทดสอบอยู่หลายครั้งจนมั่นใจว่าสุนัขตัวนี้เมื่ออดีตชาติเคยเกิดเป็นทหาร  แล้วเจ้าของได้ทำการทดสอบต่อไป  จนรู้ว่านายทหารที่ว่ามียศถึงนายพลทีเดียว  ได้เอาหนังสือภาพยศทหารและนายทหารให้สุนัขชี้  ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ชี้เหมือนเดิม  เป็นทหารยศนายพล มีชื่อว่าอย่างนั้น นามสกุลอย่างนี้  แล้วก็มีการสืบหาประวัติของนายพลคนนั้นจนรู้ว่า  ขณะที่เป็นนายพลอยู่นั้นได้ใช้อำนาจทรมานและพูดข่มขู่ใช้วาจาไม่ดีต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหลายประการ  ตายแล้วจึงมาเกิดเป็นสุนัข  ซึ่งเจ้าของก็พูดจาถามไถ่สุนัขตัวนั้น  จนรู้ตามที่สืบค้นหามา
                นี่ก็เป็นตัวอย่างสำหรับผู้มีวาสนาบารมี  เป็นผู้นำทั้งทางการเมืองและการปกครอง  ให้คิดถึงบุญและบาปให้มาก  ผลของกรรมมีผลแน่นอนจะช้าหรือเร็ว  ยังมีเรื่องของพระราชาอีกเรื่องหนึ่ง
                บ้านเมืองของพระราชาองค์หนึ่งราษฎรของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขฝนตกต้องตามฤดูกาล  พืชพรรณธัญหารบริบูรณ์  ต่างจากอีกเมืองหนึ่งที่ข้าวยากหมากแพง  ฝนฟ้าไม่ตกพื้นดินแห้งแล้ง  ประชาชนอดอยาก  พระราชาจึงส่งทูตไปขอช้างเผือกจากเมืองแรกเพราะคิดว่า  ถ้าได้ช้างเผือกมาแล้วจะทำให้บ้านเมืองของพระองค์มีฝนตกต้องตามฤดูกาล  แล้วก็ได้ช้างเผือกไปตามพระประสงค์  แต่กระนั้นฝนก็ยังไม่ตก  พระราชาจึงสั่งราชทูตไปใหม่เพื่อถามสาเหตุ
                พระราชาเมืองแรกก็ตรัสบอกกับราชทูตไปว่า  เหตุก็คือประชาชนของพระองค์ส่วนใหญ่ถือศีลห้า  ราชทูตก็ทูลถามว่าศีลห้าเป็นเช่นไร  และเมื่อได้คำตอบพร้อมทั้งวิธีรักษาศีลห้าแล้ว  ก็นำเรื่องราวทั้งหมดไปแจ้งต่อพระราชาของตน  พระราชาจึงตรัสเรียกประชุมขุนนางอำมาตย์และผู้นำหมู่บ้านให้รับเอาศีลห้าไปสอนผู้คนของตนให้ปฏิบัติตาม
                ไม่ช้านานบ้านเมืองของพระราชาองค์ที่สอง  ก็มีฝนตกทำให้ประชาชนหน้าชื่นตาบาน  พืชพรรณธัญหารสมบูรณ์ไม่ลำบากดังแต่ก่อน
                ประเทศไทยเรานับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่  แต่ทำไมบ้านเมืองจึงวิกฤตอยู่หลายครั้งแม้ในปัจจุบันนี้ยิ่งวิกฤตหนัก  เหตุปัจจัยนั้นมีหลายอย่าง  ด้วยวิบากกรรมเก่ามาถึงอย่างหนึ่ง  กับประชาชนส่วนใหญ่ไม่อยู่ในศีลธรรม  แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ  แต่เรื่องศีลห้ายังอ่อนอยู่  อย่างงานมงคลต่างๆ เช่น  บวชนาค  แต่งงาน  แทนที่จะได้บุญกับนำบาปเข้ามาด้วย  โดยเฉพาะน้ำเมา  ไม่ว่างานไหนๆพี่ไทยเมาทุกงาน
          เรื่องของมฆมานพได้ช่วยชาวบ้านให้มีความสุขจากการทำสาธารณะประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น  ต่อมาได้คนมาช่วยด้วยถึง ๓๒ คน  ครั้งหนึ่งมีเจ้าเมืองชวนให้ไปทำปานาติบาตเพื่อประโยชน์ส่วนตน  มฆมานพและเพื่อนอีก ๓๒ คนไม่ทำตาม  จนทำให้เจ้าเมืองโกรธแค้น  นำเรื่องกราบทูลใส่ความมฆมานพและพวกว่าเป็นพวกโจร  ขอให้พระราชาลงโทษ
                พระราชามิได้ทรงไต่สวนให้ถี่ถ้วน มีรับสั่งให้จับมฆมานพและพวกมาลงโทษ  โดยให้ช้างเหยียบคนเหล่านั้น  ส่วนมฆมานพให้โอวาทเพื่อนๆว่า  พวกเราจงตั้งใจเจริญเมตตา  นอกจากเมตตาบารมีแล้วพวกเราไม่มีที่พึ่งอื่นอีกแล้ว  ขอพวกเราอย่าโกรธพระราชา  เจ้าเมือง  และช้างที่จะเหยียบพวกเรา  จงทำให้มีเมตตาเสมอกัน
                ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาทำให้ช้างไม่สามารถที่จะทำร้ายพวกมานพได้  แม้จะเอาเสื่อมาคลุมร่างกายของพวกมานพ  ช้างก็ยังเดินเลี้ยวไป  ยังความประหลาดพระทัยแก่พระราชา  หรือจะมีเหตุอะไรสักอย่าง  จึงทำการไต่สวนจนรู้ว่าเจ้าเมืองใส่ความ  พวกมานพทั้งหลายมีแต่ทำการสาธารณะกุศลช่วยชาวบ้าน  ส่วนเจ้าเมืองต้องการให้พวกมานพทำอกุศลกรรมต่างๆ มีฆ่าเนื้อเบื่อปลา  ต้มเหล้าเถื่อน  เป็นต้น
                พระราชาทรงโสมนัสยิ่งนัก  จึงตรัสว่า  ถึงแม้ช้างจะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็รู้จักคุณความดีของพวกเจ้า  ส่วนเราเป็นมนุษย์หารู้จักไม่  ขอพวกเจ้าจงให้อภัยแก่เราด้วยเถิด  แล้วมีพระราชโองการพระราชทานเจ้าเมืองพร้อมทั้งลูกเมียให้เป็นบริวารของมานพเหล่านั้น  พร้อมกับช้างเชือกนั้นด้วย  ยังความปลาบปลื้มใจให้แก่เหล่ามานพนั้น
                ต่อมามฆมานพและเพื่อนพ้องกับช้าง  ๑ เชือก  ได้ช่วยกันสร้างศาลา  สะพาน  ถนนหนทางและอื่นๆอีกมากมาย  ส่วนภรรยาของมฆมานพทั้ง ๔ มี ๓ คนได้ช่วยกันสร้างศาลาด้วย  ส่วนอีกคนไม่ได้ทำอะไรเลย
                เมื่อคนทั้งหมดเสียชีวิตลง  มฆมานพไปเกิดเป็นพระอินทร์  เพื่อนทั้ง ๓๒ คน เกิดเป็นเทพบุตร  ช้างไปเกิดเป็นเทพบุตรเอราวัณ  ภรรยาทั้ง ๓ ไปเกิดเป็นภรรยาของพระอินทร์  ทั้งหมดเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ส่วนภรรยาอีกคนไปเกิดเป็นนกกระยาง  มฆมานพที่ได้เกิดเป็นพระอินทร์ก็เพราะมีข้อวัตรปฏิบัติ ๗ ประการ  ดังกล่าวไว้ข้างต้น
               ส่วนผู้คนในบ้านเมืองเราปิดถนน  ปิดสนามบิน หรือแม้แต่จะตัดน้ำตัดไฟอันเป็นประโยชน์ของสาธารณะส่วนรวม  ซึ่งเป็นการทำตรงกันข้ามกับพระอินทร์และสหาย  เมื่อคนเหล่านี้ตายไปจะไปเกิดที่ไหนกันนะ
                นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรวมทั้งผู้นำคนอื่นๆ   มีข้อวัตรปฏิบัติยังไม่ถึง  ๗ ข้อ  รวมทั้งศีลห้าก็ย่อหย่อน  โดยเฉพาะข้อมุสาที่มีพูดโกหก  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ  พูดเพ้อเจ้อ  เห็นอยู่ทุกคน   สิ่งใดที่ไม่ถูกต้องก็รีบแก้ไขเสีย  กรรมนั้นมีจริง  อยู่ที่จะส่งผลเมื่อไหร่
                สุราเมรัย  นอกจากบุคคลทั่วไปแล้ว  ผู้นำรัฐบาลและส.สทั้งหลาย  ยังมีการจัดเลี้ยงในกลุ่มรวมทั้งสังสรรค์กับเหล่าหัวคะแนน  ผู้นำก็ยังดื่มสุรากันอยู่จะเป็นตัวอย่างให้กับบุคคลอื่นได้อย่างไร  อยากจะเห็นรัฐบาลจัดงานเลี้ยงใดๆ ให้นำเครื่องดื่มผลไม้และสมุนไพรต่างๆ มาฉลองกันแทนของมึนเมาทั้งหลาย  ไม่จำเป็นต้องเอาแบบต่างประเทศทั้งหมด  เราควรจะมีเอกลักษณ์  วัฒนธรรมของเราเองเป็นตัวอย่างกับประชาชน  กล้าที่จะทำความดีเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพกับทั้งทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น  ถ้าจะอ้างว่าประเทศไหนๆเขาก็ทำกัน ประเทศอิสลามเขาก็ไม่ดื่มกันนะ  ในเมื่อคนไปสวรรค์เท่ากับเขาโค คนไปนรกเท่ากับขนโค  คือคนส่วนใหญ่ไปนรกแล้วเราจะไปรวมอยู่กับคนส่วนใหญ่หรืออย่างไรกัน
                การที่จะเป็นผู้นำคนอื่นต้องมีบารมีที่สร้างสมมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน  ดังตัวอย่างที่ยกมา  โดยเฉพาะผู้นำที่อยู่ในศีลในธรรม  ส.ส.รุ่นเก่ามีอายุเหลืออยู่ไม่กี่ปีก็ต้องตายไป  ส.ส.รุ่นใหม่มีเวลา ๓๐-๕๐ ปี  ก็ต้องตายไปเหมือนกัน  ฉะนั้นเวลาที่จะสร้างสมบุญบารมีนั้นมีอยู่ไม่นาน  เพราะส.ส.แต่ละท่านใช่ว่าจะได้อยู่ฝ่ายรัฐบาลตลอดไป  จะได้งบมาสร้างงานช่วยเหลือชาวบ้านไม่ได้มีตลอด  ถึงแม้จะไม่ได้เป็นฝ่ายรัฐบาลแต่ก็สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมได้  เหมือนกับมฆมานพ  ข้อวัตรปฏิบัติที่ยังทำได้ไม่ครบถ้วนอย่างมฆมานพ  ก็ทำในข้ออื่นๆ อย่างศีลห้า  เป็นต้น  ถ้าคนในประเทศมีศีลห้าบริสุทธิ์มากขึ้นรวมทั้งผู้นำด้วยก็จะทำให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตต่างๆไปได้
                จุดเสื่อมของศีลห้า  สุรายาสูบ  ยาบ้า  ปล้น ฆ่า  ชิงทรัพย์  อนาจาร  ด่าทอ  เสียดสี  ยุยง  ฝ่ายตรงข้ามเพราะขัดผลประโยชน์  ภิกษุนอกรีต  และอื่นๆ อีกมากทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว
                ส.ส.รุ่นใหม่นอกจากมีความรู้ด้านการเมือง  การคลัง  การบริหาร  และควรศึกษาเรื่องบุญบาป  ต่อไปเมื่อมีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรีจะได้ไม่หลงผิด  เห็นแก่ลาภยศ  สรรเสริญ  สุขที่มันไม่เที่ยง  โกงกิน  ฉ้อราษฎรบังหลวงได้เงินมาให้ความสุขอยู่กับเราได้ไม่นาน ที่สุดต้องไปรับผลกรรมจากการกระทำผิดของเรา  ฝ่ายส.ส.ผู้สูงอายุก็เหลือเวลาไม่กี่ปีที่จะมุ่งสร้างความดี  ส่วนที่ไม่ดีก็ยังกลับตัวกลับใจสร้างความดีที่มีคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้

                อนาคตประเทศไทย
            ต้องรอให้คนไทยส่วนใหญ่อยู่ในศีลธรรมมากกว่านี้  เช่นเดียวกับเมืองที่ข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ดังยกตัวอย่างไว้แล้วข้างต้น
                ไหว้พระ ๘ นิ้ว
            เห็นผู้คนทั้งหลายทางทีวี  มีตั้งแต่พระสงฆ์  ดารานักแสดง  นักร้อง  ผู้ใหญ่และเด็ก  เวลาไหว้เดี๋ยวนี้ชอบไหว้กันแปดนิ้ว  คือให้หัวแม่มือไขว้กันขณะไหว้  เมื่อก่อนก็ยังมีน้อยอยู่  ปัจจุบันไม่รู้ไปทำตามใคร  โดยเฉพาะดารานักแสดงจะเห็นบ่อยมาก  การที่ไหว้คนอย่างนั้นก็คงไม่เสียหายเท่าไหร่  แต่ถ้าไปไหว้พระสวดมนต์เข้าผิดร้ายแรงมาก
                ในสมัยก่อนมีการกัดนิ้วจนขาด  เพื่อเวลาไหว้จะได้ไม่ครบสิบนิ้ว  เนื่องจากความไม่เคารพ  ไม่ยอมอ่อนน้อมก้มหัวให้ศัตรู  มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือราชาธิราช(มีการกัดนิ้วตัวเองขาดเพื่อไม่ให้มีนิ้วครบ ๑๐ นิ้ว เวลาว่ายฝ่ายตรงข้ามที่เป็นศัตรู ก็ดูเหมือนเป็นการไม่เคารพศรัทธา เพราะไหว้ไม่ครบ ๑๐ นิ้ว)  และยังมีพวกยักษ์หรืออสูรที่เวลาไหว้ใครแล้วจะกดหัวแม่มือซ่อนไว้ไม่ให้เล็บอันยาวน่ากลัวโผล่ออกมา  ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าไม่ใช่คน  ดังนั้นในสมัยก่อนจึงบอกว่าการไหว้โดยกระพุ่มมือนิ้วทั้งสิบเรียงชิตติดกันให้เห็นเล็บอันแวววาว  ถ้าใครเล็บยาวหน่อยก็จะว่าเป็นยักษ์เป็นมาร
                วัยรุ่นที่ชอบสาบานมักจะเอามือข้างหนึ่งซ่อนไว้ข้างหลังแล้วเอานิ้วไขว้กัน  บ่งบอกความหมายว่าไม่เป็นจริง  คือ  ปากว่าอย่างหนึ่งแต่ใจว่าอย่างหนึ่ง  เรียกว่าโกหกซึ่งหน้าไม่ยอมรับความจริงที่พูดไป  บอกถึงความเจ้าเล่ห์ที่แท้โกหกเป็นนิสัย
                พูดถึงการไหว้พระแปดนิ้วเป็นการลบหลู่ศาสนา  จะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี  โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี  ผู้ไหว้ย่อมได้รับผลกรรมนี้แน่นอน  กรรมย่อมส่งผลข้ามภพข้ามชาติ  ตัวอย่างในพระไตรปิฎกไม่มีในเรื่องนี้  แต่มีในเรื่องอื่นๆ  อย่างเช่น  พระลกุณฎกภัททิยเถระที่อดีตชาติ  ให้ย่อส่วนการสร้างพระมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า  ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  จึงทำให้พระลกุณฎกภัททิยเถระ  เกิดมามีร่างกายต่ำเตี้ย  ถูกล้อเลียนว่าเป็นสามเณร 
                มีเรื่องบุพกรรมของพระจูฬปันถก  ที่อดีตชาติเคยบวชเรียนอยู่ในสำนักพระกัสสปพุทธเจ้า  ท่านเองมีความจำที่รวดเร็วและแม่นยำมาก  ไปหัวเราะภิกษุรูปหนึ่งที่ปัญญาทึบท่องบ่นสาธยายหัวข้อธรรมแม้บทเดียวก็จำไม่ได้  ทำให้เป็นที่อับอายจนเลิกเรียนสาธยายธรรมนั้น  กรรมในอดีตจึงส่งผลให้พระจูฬปันถกมีปัญญาโง่เขลา  ท่องพระคาถาแม้บทเดียวก็ไม่ได้  นี่แค่เยาะเย้ยดูหมิ่นพระด้วยกันยังได้รับผลกรรมถึงเพียงนี้  ถ้าลบหลู่พระรัตนไตร โดยเฉพาะพระธรรมที่เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าแล้วผลออกมาจะขนาดไหน
                คนที่เคยไปว่าพระบ้า  พระบ้า  ที่สุดตัวเองต้องเป็นบ้าไปก็มี  กรรมส่งผลในปัจจุบัน  ส่วนคนที่ไหว้พระแปดนิ้วที่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปก็เลิกทำเสีย  แล้วจัดหาดอกไม้ธูปเทียนไปกล่าวขอขมากรรมต่อพระพุทธรูปในโบสถ์ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อการกระทำของตน อันเป็นการลบหลู่พระศาสนา  ต่อนี้ไปจะได้ตั้งใจศึกษาธรรมให้มากขึ้น  ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา  เร่งสร้างบุญให้มากขึ้นให้กรรมนั้นตามไม่ทัน  หรือทันก็ส่งผลน้อยเพราะมีบุญรองรับอยู่  อย่างเช่นพระลกุณฎภัทรทิยะที่ร่างกายต่ำเตี้ย แต่มีผลบุญที่ได้ถวายทานพระปทุบุตรตรสัมมาสัมพุทธเจ้า  และผลบุญที่สะสมมากกว่าแสนกัปจึงทำให้สำเร็จพระอรหันต์   ส่วนที่ไหว้พระ ๘ นิ้วนั้นจะส่งผลเมื่อไหร่  กรรมที่ได้รับเป็นอะไรบ้างไม่อาจคาดเดาได้  คนที่รู้ตัวว่าทำผิดก็ให้รีบแก้ไขเสีย  เพราะไม่อย่างนั้นไม่มีโอกาสมาเกิดพบเจอศาสนาของพระศรีอาริยะเมตไตรแน่นอน  เนื่องจากนิ้วไม่ครบ  เป็นคนพิการ  ศาสนาของพระศรีอารย์ทุกคนรูปร่างสวยงามแม้แต่ผิวพรรณก็ผุดผ่องเนียนละเอียดคือสวยเพราะบุญที่สะสมมา  ในยุคนี้ไม่มีคนพิการทุกชนิด
                ถือมากหนักมาก
            ผู้ที่ไปยึดติดว่าสิ่งนั้นเป็นมงคล  สิ่งนี้ไม่ดี  ทำไปแล้วไม่เจริญก้าวหน้าเข้าไปอยู่ในกฎกติกาของทางโลก  เชื่อโชคลางถือมงคลตื่นข่าว  ถือมากก็เกิดมาก  การถือนั่นนี่เป็นการยึดติด  เมื่อยึดติดก็ต้องกลับมาเกิดอีก  ทุกอย่างไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงแล้วไปยึดติดให้ทุกข์ทำไม  ทุกข์ก็เพราะไปยึดติด  พยายามไปบังคับให้อยู่ในกฎเกณฑ์หรืออำนาจของเขา
                 มันบังคับไม่ได้เนื่องจากมันไม่เที่ยง  แม้ร่างกายของเราๆจะไปบังคับไม่ให้เหี่ยว  ไม่ให้ย่น ไม่ให้แก่ ไม่ให้ตายก็ไม่ได้  แล้วจะไปบังคับคนอื่นได้อย่างไรกัน  ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพยายามที่จะลดละไม่ยึดติดก็ไม่ได้  พยายามทำให้ว่างก็ยังทำไม่ได้  และการบังคับให้มันว่างก็ไม่ใช่หนทางนิพพาน  เพราะไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ  คือดับเหตุและปัจจัยได้อันมี  ราคะ  โทสะ  โมหะ  เป็นเหตุ  มีมรรค ๘ เป็นเครื่องมือดับเหตุและปัจจัยนั้น







ไม่มีความคิดเห็น: