วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๒๖ นิพพานด้วยปัญญา (๑๐) สรุปว่านิพพานอยู่ตรงไหน

เพิ่มคำอธิบายภาพ
http://www.deviantart.com/ ...
สรุป นิพพานอยู่ไหน
    มาถึงบทสรุปว่านิพพานอยู่ไหน ในหลายคำถามหลายคำตอบในเว็บต่างๆที่คนอยากรู้เข้าไปดูข้อมูลบ้าง เข้าไปตั้งกระทู้ถามหรือแม้แต่จะอธิบายว่า นิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหน มีการอ้างตำราอ้างคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ ว่านิพพานอยู่ตรงไหนมีลักษณะอย่างไร
   ถ้าใครเปิดหน้าเว็บแล้วเจอหน้านี้ก่อนโดยยังไม่ได้อ่านบทความต้นๆ อาจจะทำให้เข้าใจได้ยาก คงต้องไปอ่านบทต้นๆก่อน เพื่อให้รู้ถึงธรรมเบื้องต้น ที่ผมต้องการแสดงให้รับรู้จนมาถึงบทสรุปตอนนี้
    บทความที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ อาจจะไม่ได้อธิบายไว้ว่านิพพานที่แท้จริงอยู่ตรงไหนหน้าตาเป็นยังไง แต่ผมจะอธิบายให้นักปฏิบัติพอจะมองเห็นหนทางได้บ้าง
   โลภ โกรธ หลง ๓ ตัวนี้ ตัวหลงเป็นตัวที่ตัดได้ยากที่สุด เพราะแม้แต่พระโสดาบันก็ยังหลง คือหลงมาเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ อย่างกลาง ๓ ชาติ อย่างน้อย ๑ ชาติ(พระโสดาบันมี ๓ ระดับ) พระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีก ๑ ชาติ ส่วนพระอนาคามีไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะท่านจะไปสำเร็จพระอรหันต์อยู่บนพรหมชั้นสุทธาวาส
  ผมได้เขียนเรื่องนิโรธสมาบัติไปแล้วและไม่คิดว่าจะมีใครมาแอบอ้างเรื่องนี้กันอีก คือไม่กี่วันนี้ผมเห็นข้อความในเว็บหนึ่ง บอกว่าอาจารย์ของเขาจะเข้านิโรธกรรม การเข้านิโรธกรรมเป็นยังไงและเมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้วในวันที่เขากำหนด ก็มีการเชิญชวนผู้มีศรัทธาไปทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธกรรมซึ่งมีอานิสงส์มาก แล้วก็เอาเรื่องนิโรธสมาบัติที่มีพระท่านได้เขียนรายละเอียดบอกไว้ว่า ใครได้ถวายทานกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วอธิษฐานสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นในวันนั้น เช่นอยากถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ ๑ แจ็คพอตด้วย ก็จะสมหวังในคราวนั้น อยากจะเป็นเศรษฐีก็จะได้เป็น ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะคนที่จะสมหวังจริงจะมีได้เพียงคนแรกคนเดียวเท่านั้น การจะเข้านิโรธสมาบัติต้องได้พระอนาคามีเป็นขั้นต่ำและสำเร็จอรูปฌานชั้นสูงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน(มีอยู่ในเรื่องทาน) ในอดีตพระราชากิงกิสสะจึงมีประกาศห้ามผู้ใดไปถวายทานพระกัสสปพุทธเจ้าก่อนพระองค์ แต่โพธิอำอามย์ฝ่าฝืนคำสั่งจนถูกประหารชีวิต
    มีนักปฏิบัติจำนวนมากอยากไปนิพพาน แต่ตัวเองยังกิน นอน อยู่ที่บ้านแล้วอย่างนี้จะไปนิพพานได้ยังไงกัน เพราะผู้ที่จะไปนิพพานได้ต้องสละทางโลกให้ได้ก่อน คือต้องออกบวช การจะเข้าถึงนิพพานได้ต้องสำเร็จพระอรหันต์ก่อนแต่การที่จะสำเร็จพระอรหันต์ก็ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ซึ่งในสังโยชน์ ๑๐ ต้องตัดกามฉันทะ คือความพอใจใน รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัสและอารมณ์ ซึ่งตัวอารมณ์ตัวนี้คือตัวกามราคะ การยินดีในรสกามการเสพสุขจากการสัมผัสฝ่ายตรงข้ามการร่วมประเวณีกัน ในเมื่อตรงนี้ยังตัดไม่ได้ก็อย่ามาพูดเรื่องว่าจะไปนิพพานเลย จิตใจไม่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวทำไม่ได้หรอก
   นิพพานคือความว่างเปล่า ก็มาพิจารณาถึงความว่าง เมื่อมีอะไรมากระทบก็คิดว่ามันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ถ้ามันว่างเปล่าแล้วจริงๆจะไปทุกข์กับมันทำไมเพราะมันไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า แต่ความสว่าง แสงสีขาว อากาศธาตุ ก็ว่างเปล่าเช่นกัน อาจจะกลายเป็นว่าไปติดนิมิตแล้วทำให้หลงเช่นเดียวกับพระดาบสฤๅษีทั้งหลายที่ติดรูปฌาน  ถ้าพิจารณาความว่างเป็นอารมณ์เหมือนอารมณ์นิพพานก็ไม่ถูกต้อง เพราะอารมณ์นิพพานเป็นอารมณ์ที่ว่างจากกิเลสตัณหาทั้งปวง  ถ้าผู้สอนจะบอกว่าวิธีพิจารณาแบบนี้เป็นทางลัด ถ้าเป็นทางลัดจริงพระพุทธองค์ทำไมจึงตรัสสอนว่า ไม่ละสังโยชน์แล้วจะทำนิพพานให้แจ้งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้(ฐานสูตรหรืออารามสูตร ๔-๓๓๑) แม้การพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ก็ต้องละสังโยชน์เช่นกัน ที่สุดของการพิจารณาคือรักษาจิตตัวเดียวก็ต้องละสังโยชน์ให้ได้ ตามระดับชั้นของพระอริยะ  ไม่มีทางลัดที่จะไปนิพพานหรือสำเร็จนิพพานได้ มันต้องเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกับการพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท หรือแม้แต่การละสังโยชน์ ๑๐  ต้องละสังโยชน์ที่ ๑ ก่อนแล้วมา ๒ และ๓... จะละสังโยชน์ ๒ แล้วมา ๑ และ ๓ ไม่ได้ เช่นเราบอกว่าเราไม่ลังเลสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย จากนั้นมาพิจารณาเพื่อจะละตัวสักกายทิฐิหรือตัวสีลัพพตปรามาสไม่ได้ ความจริงการละสังโยชน์ ๓ เพื่อบรรลุพระโสดาบันนั้นก็มีบอกถึงวิธีพิจารณาไปแล้ว(ถ้าได้อ่านบทความทั้งหมด)

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

บทที่ ๒๕ นิพพานด้วยปัญญา (๙) ไหว้พระ ๘ นิ้ว

                                                                                                                                     
เจ้าตอบปัญหา
                มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งมีประวัติของพระศรีอริยเมตไตรย  และการตอบปัญหาของเทพองค์หนึ่งเป็นการประทับทรง  เทพองค์นี้เป็นของทางจีนเขาในที่นี้เรียกว่าเจ้าพ่อตามเขา  มีการถามตอบอยู่หลายหัวข้อ  จะยกตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องมาให้ดู
ถาม คนปล้นฆ่าชิงทรัพย์  ตายแล้วจะได้เกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า
ตอบ ไม่มีทางได้ผุดเกิดอีก
ถาม  ผู้ที่ตกนรกอเวจี  จะไม่ได้ผุดเกิดอีกตลอดกาลใช่หรือเปล่า
ตอบ  ผู้ที่ตกนรกอเวจี  เป็นพวกทำบาปหนัก  หมดโอกาสเกิดเป็นคนอีก  แต่ถ้ายมบาลพิพากษาให้ไปเกิดเป็นสัตว์ได้  แต่เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว  ก็ต้องกลับไปเสวยทุกข์ทรมานในอเวจีอีกตลอดไป
ถาม  ถ้าจะหวังบรรลุมรรคผล  ต้องเข้านับถือศาสนาใด
ตอบ  ไม่ว่าศาสนาใด  หากมีความเพียรในการขัดเกลาจิตและหมั่นบำเพ็ญทานบารมีจนครบสมบูรณ์  ย่อมสามารถบรรลุมรรคผลได้ทั้งสิ้น
ถาม  ถ้าหวังจะบรรลุพุทธะควรนับถือศาสนาใด
ตอบ : ไม่ว่าศาสนาใด  แม้วิธีปฏิบัติต่างกัน  แต่หลักการเหมือนกัน  คือ ต้องทำดีละชั่ว  บำเพ็ญศีล  สมาธิ  ปัญญา  จนจิตผ่องใสปราศจากกิเลสตัณหา
                นี่ยกปัญหาถามตอบบางส่วนที่ค่อนข้างเห็นชัดเจนมาให้รู้กัน  คนเราแม้จะทำกรรมชั่วขนาดไหนเมื่อตกนรกแล้ว  ก็สามารถมาเกิดเป็นคนได้อีก  จะช้าหรือเร็วต่างกัน  พระเทวทัตทำอนันตริยกรรม  คือ  ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนพระโลหิตห้อขึ้นและยังทำให้สงฆ์ต้องแตกแยก  เป็นกรรมหนักห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน
                พระเทวทัตถูกธรณีสูบรับกรรมในนรกอเวจี  ตลอดกัป  ขณะที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบจมลงในแผ่นดิน  ในเวลาที่กระดูกคางจรดถึงพื้นดินพระเทวทัตกล่าวว่า  ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็นที่พึ่งด้วยกระดูกเหล่านี้  พร้อมด้วยลมหายใจ  จากการสำนึกผิดในวาระจิตสุดท้าย  ในอนาคต  พระเทวทัตจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
                ธรรมวินัยมีมรรคมีองค์ ๘ ดูกรสุภัททะ  ในธรรมวินัยใดไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘  ในธรรมวินัยนั้น  ไม่มีสมณะ  ที่ ๑   ที่ ๒  ที่๓  ที่๔ ธรรมวินัยใดมีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘  ในธรรมวินัยนั้นมีสมณะที่ ๑-๔ นั้น (มหาปรินิพพานสูตร ๑-๗๔)
                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สมณะที่ ๑ มีศาสนานี้เท่านั้น  สมณะที่  ๒ ๓ ๔  ก็เช่นเดียวกัน  ลัทธิของศาสนาอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง  ฯลฯ  ( จูฬสีหนาทสูตร  ๗-๓๔๓ )
                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้  เพราะสิ้นสังโยชน์  ๓  เป็นเพราะโสดาบัน  มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา  เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ภายหน้า  นี้เป็นสมณะที่ ๑  เพราะสิ้นสังโยชน์  ๓  เพราะราคะโทสะโมหะเบาบาง  เป็นพระสกิทาคามีมาสู่โลกนี้คราวเดียว  กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  นี้สมณะที่ ๒  เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์  เป็นอุปปาติกะ ( พระอนาคามี )  จักนิพพานในภพนั้น  มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดานี้  สมณะที่  ๓  ภิกษุในธรรมวินัยนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ ( พระอรหันต์ขีณาสพ ) นี้เป็นสมณะที่ ๔  ( ๔-๖๓ )
               โอรัมภาคิยสังโยชน์  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯ  สักกายทิฐิเป็นของมีกำลังอันปุถุชนบรรเทาไม่ได้นั้น  ชื่อว่าเป็นโอรัมภคิยสังโยชน์  เช่นเดียวกับวิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส  กามราคะ  และพยาบาท ฯ   ดูก่อนอานนท์  ข้อที่ว่าบุคคลไม่ต้องอาศัยมรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภคิยสังโยชน์ได้นั้น  ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ  (มหามาลุงโกยวาทสูตร  ๑-๓๓๒ )
                หมายถึงศาสนาอื่นไม่มีมรรคมีองค์ ๘  ไม่มีสมณะที่ ๑ โสดาบัน  สมณะที่ ๒  สกทาคามี   สมณะที่ ๓  อนาคามี  สมณะที่๔ อรหันต์
                ดังนั้นเจ้าพ่อจะบอกว่าศาสนาไหนก็เข้าถึงมรรคผลได้  แสดงว่าเจ้าพ่อไม่รู้เรื่องอะไรเลย  แม้จะมีผู้แปลคำถามคำตอบ  ผู้แปลก็ไม่เคยศึกษาหลักธรรมของศาสนาพุทธด้วย  เพราะถ้าศึกษาดีแล้วก็คงไม่กล้าจะเผยแผ่หลักธรรมที่ไม่ถูกต้อง
                หนังสือในลักษณะเช่นนี้มีอยู่มาก  ในเบื้องต้นก็มีบอกไปแล้วเหมือนกัน  มันขัดต่อหลักธรรมที่แท้จริงหลายอย่าง  แต่คนที่ไม่เข้าใจก็หลงตามเขาไป  เพราะการชักจูง  การช่วยเหลือ และรูปแบบของการปฏิบัติ  ทำให้ถูกโน้มน้าวคล้อยตามไปกับเขา  บ้างก็ออกมาจากกลุ่มคนลัทธิความเชื่อย่างนั้นของเขาได้  บ้างก็หลงยึดติดไปเลย
                มีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระอรหันต์อยู่เรื่องหนึ่ง  ต้นเหตุน่าจะเกิดจากพระสงฆ์ที่ท่านยังไม่เข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริง  แล้วก็เที่ยวเทศน์ไปอย่างนั้น  จนพระหลายรูปก็เทศน์ตาม  เช่นเดียวกับชาวบ้านที่นำไปสั่งสอนแบบผิดๆ
                คล้ายกับเรื่องชำระหนี้สงฆ์  หาบุคคลแรกไม่ได้ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร  ใครเป็นผู้บัญญัติขึ้นมา  เรื่องของเรื่องก็คือ  บิดามารดาเป็นอรหันต์หรือพระอรหันต์ของลูก  การกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  เป็นการพูดที่ไม่เข้าใจหลักธรรม  เพราะคำว่าพระอรหันต์  หมายถึง บุคคลที่ดับเหตุและปัจจัยที่จะทำให้มาเกิดอีก  แต่พ่อแม่ของเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้เท่าไหร่  เพราะถ้าท่านเป็นอรหันต์ในขณะนั้น  ท่านจะทำให้เราเกิดได้อย่างไร
                พระคุณของบิดามารดาจะมากมายเพียงใดก็ตาม  แต่ก็ยังไม่ได้เป็นอรหันต์ของลูก  เหมือนกับคนบางคน  บางกลุ่ม  บางพวก  ยกย่องว่าเทพองค์นั้นองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์  โดยขาดการศึกษาธรรมะให้ถ่องแท้  และบางพวกบางคนก็ว่าตามเขาไป  เช่นเดียวกับการที่จะยกย่องว่าพระรูปนั้นพระรูปนี้เป็นอริยะสงฆ์หรืออรหันต์  ขนาดมีการทดสอบกันเลย  ไม่รู้จริงก็ยกย่องสรรเสริญตามศรัทธาของตัวเอง
                บูรพาจารย์  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  มารดาบิดาบุตรทั้งหลายในตระกูลใดบูชาแล้วภายในเรือน  ตระกูลเหล่านั้นชื่อว่ามีพรหม  มีบูรพาจารย์  มีบูรพเทพ  มีอาหุเนยบุคคล, ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำว่าพรหม  บูรพาจารย์  บูรพเทพ  อาหุเนยบุคคลนี้เป็นชื่อของมารดาบิดา  ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะมารดาบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก  เป็นผู้ประคบประหงมเลี้ยงดูบุตร  เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร (สพรหมสูตร ๓-๕๑๐ และพรหมสูตร ๓-๓๔๕)
                พิจารณาเรื่องบิดามารดาเป็นอรหันต์ของลูก  เหมือนว่าจะไม่สำคัญ  คนส่วนใหญ่ก็คิดกันเช่นนี้  แต่ก็เป็นเครื่องชี้ภูมิธรรมของผู้ถ่ายทอดได้ดี  เช่นเดียวกับผู้ที่วิจารณ์เรื่องภิกษุสันดานกา เมื่อไม่รู้จริงก็แสดงความเห็นแบบผิดๆหรือเข้าข้างตัวเอง

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทที่ ๒๔ นิพพานด้วยปัญญา (๘) กินอย่างไรถึงละกิเลส,วันโกนให้ละวันพระให้เว้น

กินเจ
กินเจ  ที่ชาวพุทธฝ่ายมหายานประพฤติปฏิบัติกันมาช้านาน  และเข้ามาในสังคมบ้านเรา  จนเกิดเทศกาลกินเจขึ้นมา  มีผู้พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับอานิสงค์ของการกินเจไว้มาก  แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่อง  ผมมีเรื่องของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งใหญ่มากได้เข้ามาเมืองไทย  เพื่อเผยแพร่ศาสนา  แต่กล่าวโดยรวมว่าได้นำหลักของทุกศาสนามาใช้  โดยเฉพาะจะอ้างอิงหลักพุทธศาสนามากที่สุด
มีคนลักษณะเป็นผู้นำได้ชักชวนให้ผมเข้าไปปฏิบัติธรรมด้วย  เน้นเรื่องการปฏิบัติจิต  พูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย  เขาพาข้ผมไปยังสถานธรรมหลายแห่ง  หาหนังสือที่ทางกลุ่มจัดพิมพ์ขึ้นมาให้ผมอ่าน  เนื้อหาในหนังสือมีสิ่งดีๆเยอะ  แต่ก็มีสิ่งขัดแย้งอยู่พอสมควร
          กระดาษเงินกระดาษทอง

 เรื่องสิ่งที่มีประโยชน์สมควรเผยแพร่  คือ  เรื่องการเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ผู้ตาย  ความว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีฮ่องเต้องค์หนึ่งได้ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆเกรงว่าราษฎรบางกลุ่มไม่ศรัทธา  ทำการต่อต้านจะเป็นภัยต่อแผ่นดิน  ฮ่องเต้องค์นั้นจึงเรียกมหาอำมาตย์มาปรึกษาหาวิธีป้องกัน  สรุปได้อุบายอย่างหนึ่ง  คือ  ฮ่องเต้ได้บรรทมและทรงพระสุบินไปว่า  ได้ไปเที่ยวในเมืองนรก  เห็นผู้คนถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ เนื่องจากการทำผิดศีล
เมื่อตื่นจากบรรทมแล้วนำเรื่องความฝันไปเล่าให้เหล่าเสนาอำมาตย์ฟัง  ฝ่ายเหล่าเสนาอำมาตย์ก็ทูลถามเรื่องของนรกเป็นอย่างไร  ฝ่ายฮ่องเต้ก็อธิบายให้เหล่าขุนนางได้เกิดความหวาดกลัว  แล้วจะได้ไปบอกชาวบ้านว่าการทำผิดศีลอย่างนั้นๆ  จะได้รับโทษทัณฑ์อะไรบ้าง  ชาวบ้านก็จะอยู่ในความสงบ  การปล้นฆ่า ลักทรัพย์  ฉุดหญิงชาวบ้านไปย่ำยี  การฉ้อราษฎร์บังหลวง  คดีความต่างๆก็ลดน้อยลง  เพราะความกลัวตกนรก
แต่มีเหล่าขุนนางทูลถามต่อไปว่า  ถ้าญาติพี่น้องของเขาตายไปต้องตกนรกแล้ว  มีวิธีช่วยพวกเขาได้อย่างไรบ้าง  ฮ่องเต้ก็มีอุบายบอกไปว่าให้เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้พวกญาติๆใช้จะได้ไม่ลำบาก
นั่นเป็นส่วนหนึ่งในอุบายการปกครองของฮ่องเต้องค์นั้น  และก็มีการปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้  แม้จะมีชาวจีนส่วนหนึ่งที่มีความเห็นขัดแย้งกันและเลิกเผากระดาษกันแล้ว
หลักศาสนาพุทธชองเราไม่มีเรื่องอย่างนี้  การถวายทานทำบุญหรือการให้ทานชนิดต่างๆ  ให้อานิสงค์ที่แตกต่างกันก็มีบอกไว้เช่นกัน  แม้บุญที่อุทิศให้กับผู้ตายก็จะมีเปรตจำพวกหนึ่งเท่านั้น  ที่สามารถรับส่วนบุญนั้นได้
มีเรื่องการเซ่นไหว้ที่พระท่านชอบนำมาเทศน์อยู่เสมอคือ  มีชายสองคนพ่อลูกไปทำนายังที่ดินของตน  แล้วลูกชายถูกงูพิษกัดตาย  ชายผู้เป็นพ่อจึงให้คนใช้นำศพลูกชายไปฝังไว้ที่ท้ายนา  ทุกวันผู้เป็นพ่อจะให้คนใช้นำอาหารโปรดของลูกไปเซ่นไหว้  นานวันเข้าอาหารเก่าก็เริ่มเน่าส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว  ไม่รู้จะทำอย่างไร  พอดีพระพุทธเจ้าได้บิณฑบาตผ่านมา  คนใช้จึงบอกกับนายของตนว่า  ผู้มีรัศมีงามสง่าผิวพรรณเปล่งปลั่งดุจทองคำผู้นั้น คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นายท่านควรจะถวายไทยทานกับพระพุทธองค์  เพราะพระองค์เป็นผู้เลิศกว่าใครในสามภพ
ชายผู้นั้นเห็นพุทธลักษณะของพระพุทธเจ้าก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา  จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าเพื่อถวายไทยทาน  เสร็จแล้วชายผู้นั้นก็ถามถึงทานที่ตนได้กระทำแล้วเป็นอย่างไร  และการที่ตัวเองเซ่นไหว้ศพของลูกชายด้วยอาหารทั้งหลายเป็นอย่างไร  พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงทานที่มีผลมาก  มีผลน้อย  ทานที่ทำแล้วมีอานิสงค์เช่นไร  ทำไปแล้วอุทิศให้กับญาติพี่น้องได้อย่างไร   การเซ่นไหว้แบบที่เธอทำอยู่  นอกจากสิ้นเปลืองแล้วหาประโยชน์อันใดมิได้  ของเหล่านั้นก็เน่าเสียไปหมด เหมือนเรื่องของพระเจ้าพิมพิสาร  ที่เปรตญาติพี่น้องมาขอส่วนบุญ  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาจบลง  ชายผู้นั้นก็กล่าวว่าขอข้าพระพุทธเจ้าเข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยตั้งแต่บัดนี้
มาดูเรื่องเผากระดาษกันต่อ  ไม่ได้คิดแบบหลักพระพุทธศาสนานะ  แต่คิดในแง่เหตุผลความเป็นจริง  ถ้าการเผากระดาษนั้นไปถึงผู้ตายได้  เวลาไหว้คนตาย  นอกจากพิมพ์รูปเสื้อผ้าของใช้ที่เคยทำกันอยู่แล้ว  ทำไมไม่พิมพ์อาหารต่างๆ เป็นรูปสีสวยๆ  บอกชื่ออาหารพร้อมกับภัตตาคารที่ปรุงอาหารไปด้วย  ไม่ต้องไหว้หมู  เป็ด ไก่ จริงๆกัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปมากและได้อาหารที่ถูกใจ  แม้กระทั่งเผาบุญไปให้  นี่คิดแบบความเป็นจริงที่มีเหตุและผลของเขา และต่อยอดให้เขาด้วยนะ
ขณะที่ผมได้ไปร่วมกิจกรรมกับพวกเขานั้น  ให้รู้สึกอึดอัดหาที่พึ่งไม่ได้  แม้จะบอกกล่าวกับผู้นำที่ชักชวนผมเขาก็พยายามที่จะดึงผมให้อยู่ให้ได้
สรุปคือผมสร้างบุญมาดี  ได้พบกับพระอาจารย์ที่ชี้ทางสว่างให้กับผมให้ได้ดวงตาที่เห็นธรรม  กับพระอาจารย์ผมไม่ได้ดิ้นรน  แต่เจอะเจอได้ก็เพราะบุญที่ผมสร้างไว้  จู่ๆท่านก็มา  สำหรับเรื่องของพระอาจารย์ก็มีบอกไว้ในตอนต้น
 หลังจากนั้นทำให้ผมมองเห็นอะไรที่ชัดขึ้น  โดยสิ่งที่อึดอัดกับการปฏิบัติธรรมของสถานที่  ที่ผมเข้าไปสัมผัสมา  คือ  ผู้ปฏิบัติธรรมระดับผู้นำต้องกินเจตลอดชีวิตไม่น้อยกว่าสิบปีจึงจะเป็นผู้นำกลุ่ม  มีโอกาสที่จะถ่ายทอดธรรมให้กับผู้อื่นได้  กินเจสิบปีแล้วเป็นยังไง  ธรรมะก็ไม่ได้สูงขึ้น  ผู้ปฏิบัติทั้งหลายในกลุ่มนั้นไม่สามารถข้ามพ้นความเป็นปุถุชนไปได้  เพราะมีเหตุสำคัญคือ  ในขั้นอบรมธรรมชั้นหนึ่งจะมีการเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าร่างทรงที่เป็นเด็กสาว  โดยผู้ที่ลงมาเข้าร่างเป็นพระอรหันต์ด้วย  ว่ากันไป
ตามหลักพุทธศาสนาไม่มีทรงเจ้า แต่เขาว่ามาเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลน้ำตา  พูดถึงแม่คนแรก  มาจากไหนต้องกลับไปอยู่ตรงนั้นคือแดนสุขาวดี  บ้างก็ว่ามาจากแดนนิพพานต้องกลับไปแดนนิพพาน  ถ้าพูดถึงแดนสุขาวดีก็เหมือนเทวโลกที่มีสวรรค์อยู่หกชั้น  การที่ใครเคยมาแล้วจะไปอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  แต่ถ้าอยู่แดนนิพพานแล้วมาเกิดใหม่เพื่อฉุดช่วยผู้อื่น  และจะได้กลับไปแดนนิพพานอีกก็เป็นเรื่องน่าเศร้าแล้ว  ขัดกับหลักพระพุทธศาสนาของเรา
พระพุทธเจ้าเองระลึกชาติไม่มีที่สิ้นสุด  ก็ยังไม่ไปหาแม่คนแรกเลย  เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน  จะไปหาไปรู้เรื่องแม่คนแรกทำไม  รู้ไปก็ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้  พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเรื่องอจินไตย
คิดตามหลักเหตุผลความจริงอีกนะ  ไม่ใช่คิดในแง่ของหลักธรรม  ถ้าเราเคยอยู่ในแดนนิพพานหรือแดนไหนๆที่มีความสุขนิรันดร์  ทำไมจะต้องส่งให้เรามาเกิดเพื่อให้พบกับทุกข์มากกว่าสุข  ให้เป็นนั่นเป็นนี่  และให้บำเพ็ญธรรมจะได้กลับไปที่เดิม  ให้มาทำไมถ้ามาแล้วจะมาว่ายทะเลน้ำตาที่มีแต่ทุกข์ตลอด
พระพุทธเจ้าจึงให้ดูปัจจุบันไม่ต้องไปรู้แม่คนแรกเป็นใคร  เคยเกิดเป็นอะไร  อนาคตจะเป็นอย่างไร  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อจินไตย ๔ ประการ คือ  ๑. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า  ๒. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน  ๓. วิบากแห่งกรรม  ๔. ความคิดเรื่องโลกเหล่านี้ไม่ควรคิด  เมื่อคิดบุคคลพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้าและเดือดร้อน (อจินติตสูตร ๓-๒๙๘)
มาดูพระอรหันต์ที่เขากล่าวอ้างกันต่อ  พระอรหันต์ของเขามีกริยาไม่สำรวมแต่งตัวสกปรก  ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบ้า  เป็นขอทาน  เด็กๆและผู้ใหญ่เคยเอาก้อนหินขว้างปา  ถ้าเป็นอรหันต์จริง  ชาวบ้านไม่พากันตกนรกหรอกหรือ  ที่ไปทำร้ายพระอรหันต์อย่างนั้น  แต่ก็มีคนจำนวนมากยกย่องให้เป็นอรหันต์  เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ในหลายๆองค์  ที่ต่างคนต่างฝ่ายยกย่องสรรเสริญขึ้นมา  ซึ่งล้วนแต่ขาดคุณสมบัติ  ดังที่เขียนบอกไว้ข้างต้นนั้น
ที่บอกว่ากลุ่มสถานธรรมนั้นไม่สามารถล่วงพ้นการเป็นปุถุชนไปได้  นอกจากเหตุนี้แล้ว  ยังมีเหตุอื่นอีก คือ บุคคลในสถานธรรมนั้นยังนิยมที่จะร้องเพลงอยู่  แม้เพลงนั้นๆจะเกี่ยวกับธรรมก็ตาม  เพราะอริยบุคคลแม้ชั้นโสดาบันก็ไม่ร้องเพลง


นางวิสาขาร้องเพลง
ครั้งหนึ่งนางวิสาขาได้เปล่งอุทานด้วยเสียงอันไพเราะ  ถึงความดำริของนางได้สมบูรณ์แล้ว  ทำให้ภิกษุที่ได้ยินเสียงของนาง  เข้าไปกราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า  นางวิสาขาได้ขับร้องเพลง  ด้วยอาการอย่างนั้นๆ   ซึ่งในการก่อนพวกข้าพระองค์ไม่เคยเห็น  หรือว่านางจะเสียจริตไปแล้ว
พระศาสดาได้ทรงแสดงเรื่องราวในอดีต  และตรัสถึงความดำริที่นางได้ถวายปราสาทใหม่  ถวายเตียงตั่งฟูกหมอน  ถวายสลากภัต  ถวายผ้า  ถวายเนยใส  เนยข้น  น้ำผึ้ง  น้ำมัน  น้ำอ้อย  ครบบริบูรณ์แล้ว  และตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า  ธิดาของเราย่อมไม่ขับเพลง  เช่นเดียวกับภิกษุในพระศาสนานี้ย่อมไม่ขับเพลงตามที่บอกไว้แล้วข้างต้นเรื่องคีตสูตร
มีพระเณรบางส่วนยังหลงเข้าไปร่วมกิจกรรมกับเขาด้วย  แต่ที่น่าเสียดายที่คนเหล่านั้นมีศรัทธาแต่หลงผิด  ผิดตั้งแต่ความคิดผิดแล้ว  เมื่อความคิดผิดแล้วอะไรๆก็ผิดหมด  เหตุปัจจัยนั้นมีมากผมก็อธิบายไว้หลายเรื่องทีเดียว
เมื่อกล่าวถึงการเผยแพร่ธรรมของเหล่าชาวจีนแล้ว  ยังมีข้อคิดอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหลวงจีนให้พิจารณา  สังเกตจากหนังจีนทั้งหลาย  เวลาฮ่องเต้มีพระบัญชาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่หลวงจีนต้องกระทำตาม  จึงมีพระราชโองการไปถึงคณะหลวงจีน  ผู้แทนของฮ่องเต้จะอ่านพระราชโองการของฮ่องเต้  หลวงจีนทั้งหลายต้องนั่งคุกเข่ารับพระราชโองการ  ขอให้ชาวพุทธพิจารณาให้ดี  หลวงจีนเหมือนกับพระของเรามั้ย  ถ้าเหมือนกันคือเป็นพระสงฆ์แต่ต่างนิกาย  พระไตรปิฎกฉบับเดียวกันหรือไม่  และที่สำคัญพระวินัยบทเดียวกันหรือเปล่า  ถ้าใช่หลวงจีนกระทำเช่นนั้นก็เท่ากับลบหลู่พระธรรมและฮ่องเต้ละจะรับผลเช่นไร  เมื่อเทียบกับวิบากกรรมของพระเจ้าพิมพิสาร  ให้พิจารณากันดู  พระสงฆ์ที่ศีลบริสุทธิ์มากเท่าไหร่  ทำการเคารพฆราวาสที่ศีลน้อยกว่า  บาปกรรมจริงๆ  ฆราวาสมีแต่ความเสื่อมถดถอย  แม้พระสงฆ์ก็เช่นกัน  เคารพบุคคลไม่ควรเคารพ  ลูกชายแม้บวชแล้ว  พ่อแม่ยังต้องกราบไหว้เลย  แต่นี่ฮ่องเต้ให้พระนั่งคุกเข่าทำความเคารพอ่อนน้อม
เกริ่นเรื่องกินเจมาตั้งนานแต่ไถไปเรื่องอื่นก่อน  แต่ก็มีความเกี่ยวเนื่องกันนะ  เรื่องอานิสงฆ์ของการกินเจก็คงไม่มีอะไรมากนักเพราะมีผู้เขียนไว้เยอะ  มาดูเรื่องของเราดีกว่า  ในศาสนาพุทธบ้านเรามีคนกินมังสวิรัติและกินเนื้อสัตว์  แม้กระทั่งพระสงฆ์เองก็ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่
ผู้ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าพวกหนึ่งว่า  ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานพระองค์ได้เสวยสุกรมัทวะ  ที่นายจุนทะนำมาถวาย  สุกรมัทวะนั้นคือกระดูกอ่อนของหมู  อีกพวกหนึ่งก็ว่าสุกรมัทวะคือชื่อเห็ดชนิดหนึ่ง
ในเวลานั้นนายจุนทะได้ทำอาหารเพื่อจะถวายต่อพระพุทธเจ้าและพุทธสาวก  เมื่อเป็นเช่นนั้น  อาหารย่อมมีจำนวนมาก  ถ้ากระดูกอ่อนของหมูตัวนั้นเป็นพิษ  หมูตัวนั้นน่าจะได้รับพิษชนิดใดชนิดหนึ่ง  พิษนั้นทำไมบังเอิญไปอยู่เฉพาะที่กระดูกอ่อน  พิษนั้นไม่กระจายไปทั่วตัว  ถ้าพิษกระจายไปทั้งตัวผู้ชำแหละเนื้อหมูจะไม่รู้หรือว่า หมูตัวนั้นโดนพิษ  เนื้อหมูในส่วนอื่นก็คงถูกทำเป็นอาหารถวายพุทธสาวกด้วย  แต่อาหารที่มีพิษที่แท้จริง  ส่วนหนึ่งได้ถวายพระพุทธเจ้า  ส่วนที่เหลือถูกกลบฝังไว้  ไม่ว่าจะเป็นเห็ดที่โดนงูมาคายพิษใส่  ตามที่กลุ่มนิยมมังสวิรัติกล่าวไว้  หรือจะเป็นกระดูกอ่อนของหมู  ตามที่ผู้ยังติดรสชาติของเนื้อสัตว์ว่าไว้อย่างนั้น
กินอย่างไรเพื่อละกิเลส
เรื่องมีอยู่ว่า  ภิกษุจำนวนหนึ่งได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์แล้วมีความเห็นตรงกันว่า  พวกตนสมควรจะฉันอาหารที่เป็นมังสวิรัติ  เพื่อเป็นการละในรสชาติ  และไม่เบียดเบียนสัตว์  เมื่อตกลงกันแล้วได้กราบลาพระอาจารย์ไปหาที่สัปปายะ  เพื่อเจริญธรรม  แต่ภิกษุเหล่านั้นไม่สามารถจะบิณฑบาตอาหารมังสวิรัติได้  ชาวบ้านในเขตนั้นไม่เข้าใจการปรุงอาหารมังสวิรัติ  ทำให้ภิกษุลำบากต่อการฉันอาหาร  จึงไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจและบำเพ็ญธรรมให้ก้าวหน้าได้  จึงกลับไปปรึกษาพระอาจารย์ 
พระอาจารย์แนะนำไปว่า  ถ้าอย่างนั้นพวกเธอเวลาจะฉันเนื้อสัตว์ก็ให้พิจารณาดังนี้  เนื้อที่ตนเห็น ๑  เนื้อที่ตนได้ยิน ๑  เนื้อที่ตนสงสัย ๑ พวกเธอไม่ควรบริโภค
เนื้อที่ตนเห็นก็คือ  เห็นเขากำลังฆ่าเป็ดฆ่าไก่และทำอาหารมาถวาย  เนื้อที่ตนได้ยินก็คือเนื้อที่กำลังร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานจากการถูกฆ่าเพื่อมาปรุงอาหารถวาย  ส่วนเนื้อที่ตนสงสัยก็คือเนื้อที่เขาฆ่ามาเพื่อตนเอง  ซึ่งยังมีเรื่องของเนื้อที่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับหมอชีวกที่เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ชีวกัมพวัน  ดูก่อนชีวก  ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกของตถาคต  ผู้นั้นย่อมรับบาปเป็นอันมากด้วยเหตุ   ประการ  คือ  ๑. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ๒. เมื่อถูกสั่งให้ฆ่า  ๓. เมื่อกำลังถูกฆ่า  ๔. สัตว์เหล่านั้นย่อมรับทุกขเวทนา  จากนั้นยังให้ตถาคตและสาวกยินดีด้วยเนื้อนั้น  ผู้นั้นย่อมได้รับบาปไม่ใช่บุญ
หลังจากนั้นภิกษุทั้งหมดก็ลาพระอาจารย์กลับไปยังสถานที่เดิม  ใช้ความวิริยะพากเพียร  ภิกษุเหล่านั้นก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมดในพรรษานั้นเอง

เรื่องธรรมดาของพระพุทธเจ้า (อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์)
ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที ๓๐ ถ้วนคือ
๑.  พระโพธิสัตว์ผู้มีภพสุดท้ายมีสัมปชัญญะรู้ตัว  ลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
๒.  พระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ของพระมารดา  หันพระพักตร์ออกไปภายนอก
๓.  พระมารดาของพระโพธิสัตว์ยืนประสูติ
๔.  พระโพธิสัตว์ประสูติในป่าเท่านั้น
๕.  พระโพธิสัตว์วางพระบาทลงบนแผ่นทอง  หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือย่างพระบาท ๗ ก้าว เสด็จไปตรวจดู ๔ ทิศแล้วเปล่งสีหนาท
๖.  พระโพธิสัตว์เมื่อประสูติแล้วทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกมหาภิเนษกรมณ์
๗.  พระโพธิสัตว์ทรงถือผ้าธงชัยพระอรหันต์  บวชบำเพ็ญเพียรกำหนดอย่างน้อยต่ำสุด ๗ วัน
๘.  เสวยข้าวมธุปายาสในวันที่ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ
๙.  ประทับนั่งเหนือสันถัตหญ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
๑๐. ทรงบริกรรมอานาปานสติ
๑๑. ทรงกำจัดกองกำลังของพระยามาร
๑๒. ทรงได้คุณวิเศษมีวิชชา ๓ เป็นต้น  ที่โพธิบัลลังก์
๑๓. ทรงยับยั้งใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์
๑๔.ท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาเพื่อให้ทรงโปรดแสดงธรรม
๑๕. ทรงประกาศพระธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
๑๖. ในวันเพ็ญเดือน ๓ ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในที่ประชุมสาวกประกอบด้วยองค์ ๔
๑๗. ประทับอยู่ประจำที่พระเชตวันมหาวิหาร
            ๑๘. ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ใกล้ประตูเมืองสาวัตถี
๑๙. ทรงแสดงพระอภิธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
๒๐. เสด็จลงจากดาวดึงส์สวรรค์ใกล้ประตูเมืองสังกัสสะ
๒๑. ทรงเข้าผลสมาบัติต่อเนื่องกัน
๒๒. ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ ๒ วาระ
๒๓.เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบท
๒๔. เมื่อมีเหตุต้นเรื่องเกิดขึ้นจึงตรัสชาดก
๒๕. ตรัสพุทธวงศ์ในสมาคมพระประยูรญาติ
๒๖. ทรงทำปฏิสันถารกับพระภิกษุอาคันตุกะ
๒๗. ภิกษุจำพรรษาแล้วถูกนิมนต์  ไม่ทูลบอกลาก่อนไปไม่ได้
๒๘.ทรงทำปุเรภัตกิจ  ปัจฉาภัตกิจ  กิจในปฐมยาม  กิจในมัชฌิมยามและกิจในปัจฉิมยามทุกวัน
๒๙.เสวยรสมังสะในวันปรินิพพาน
๓๐. ทรงเข้าสมาบัติ ๒,๔๐๐,๐๐๐ สมาบัติจึงปรินิพพาน   
อาหารมื้อแรกที่ทรงสำเร็จโพธิญาณคือข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาและมื้อสุดท้ายของนายจุนทะเป็นอาหารมังสวิรัติ อาหารทั้งสองมื้อนี้มีอานิสงส์เท่ากัน(พระพุทธเจ้าตรัสบอกกับพระอานนท์)
 
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพึงพิจารณาอาหารที่ยังบริโภคให้คุณหรือโทษต่อร่างกาย  และการเจริญธรรม  เมื่อจิตละเอียดขึ้นย่อมละได้เอง
ฉะนั้นการที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะบริโภคอาหารมังสวิรัติก็สมควรอยู่  แต่การกินเจนั้นก็ดี  แต่เสียอยู่ที่ถ้ากินเจนั้น  เพื่อต้องการจะขอพรจากพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่จะเสด็จลงมาโปรดในช่วงกินเจ  ดังนั้นจึงต้องชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน  บ้างก็ว่ามีพระพุทธเจ้าถึง ๙ พระองค์  บ้างก็ว่าพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์กับพระโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์  ล้วนเป็นอุบายเช่นเดียวกับฮ่องเต้ราชวงศ์ถัง  ให้มีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
ผมก็ไม่ทราบว่าอุบายนี้เริ่มต้นอย่างไร  พวกท่านทั้งหลายเข้าถึงธรรมที่แท้จริงแล้วหรือยัง  ในเมื่อยังเข้าไม่ถึงธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีสิทธิ์เห็นพระพุทธเจ้าไปได้  เพราะผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต  พุทธดำรินี้นักปฏิบัติทุกท่านจะรู้ดี  ถึงจะกินเจตลอดชีวิต  ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์แม้เทวดาก็ไม่มาหา  พระธุดงค์ที่ทำผิดพระวินัยต้องมรณภาพในป่ามากมายเพราะศีลไม่บริสุทธิ์  เทวดาไม่รักษา  ส่วนพระที่ศีลบริสุทธิ์อย่างหลวงปู่หลวงตาฝ่ายกรรมฐานที่เป็นที่รู้จักของชาวบ้าน  พบเห็นเทวดาออกบ่อยไป  บางครั้งพวกพระยานาคยังมาคอยดูแลความปลอดภัยให้ด้วยก็มี
พระศรีอริยเมตตรัยที่จะอุบัติขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปนั้นมีระยะเวลายาวนานมาก  ศาสนาของพระพุทธโคดมองค์ปัจจุบันครบ ๕,๐๐๐ ปี แล้ว  หลังจากนั้นตำราพระคัมภีร์พระไตรปิฎกก็จะค่อยๆสูญสลายหายไปในที่สุด  ไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่  โลกก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง  จนผืนดินราบเรียบเสมอกันจนหมดไม่มีภูเขาให้เห็นอีก  ใช้ระยะเวลานับเป็นล้านๆๆๆปี   คำนวณจากปัจจุบันคนเรามีอายุเฉลี่ย ๗๕ ปี ครบ ๑๐๐ ปี  อายุจะลดลง ๑ปี จนไปถึงคนเราอายุสิ้นเพียง ๑๐ ปี  จากนั้นอายุก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจาก ๑๐ ปี เป็น ๒๐ ปี ๓๐ ปี  จนไปถึงอสงไขยปี  จากอสงไขยปี ลดลงเรื่อยๆจนถึงแปดหมื่นปี  เมื่อนั้นพระศรีอริยเมตไตรยจึงจะอุบัติขึ้น แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น  พระศรีอริยเมตตรัยจะมาบังเกิด  เพื่อสร้างบารมีเป็นครั้งสุดท้าย  เช่นเดียวกับพระเวชสันดร  สละภรรยาและบุตรเป็นทาน
ผู้ใดจะมีปัญญาเกินกว่าพระพุทธเจ้าไปได้  รู้ว่าตายเกิดอีกนานแค่ไหน
บอกก่อนว่าผมไม่ได้มีเจตนาในทางที่ไม่ดีใดๆ  แต่ผมต้องการให้ชาวพุทธได้เข้าใจหลักธรรมที่แท้จริง  ไม่มีการแอบแฝงอื่นใด  ผมมีข้อคิดและเหตุผลอธิบายไว้ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา
การที่คนเราทำดีโดยการไม่กินเนื้อสัตว์  ทำไมจะต้องมีช่วงเวลา  ถ้าคนเราเกิดตายขึ้นมาก่อนที่จะถึงช่วงเวลานั้น  ก็ไม่ได้ทำดีแล้ว  พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คนเรา  ไม่ควรประมาท  จะรอให้ถึงวันนั้นก่อนทำไม  เหมือนกับรอให้แก่เสียก่อนจึงจะเข้าวัดนั้นก็เป็นการประมาท
ถ้าเป็นอุบายที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น  และคนทั้งหลายมีโอกาสที่จะได้ละบาปสร้างบุญแล้วก็เป็นการดี  แต่อย่าได้กล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาในเวลานั้นเวลานี้  เป็นการชักนำผิดหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
แม้การชำระร่างกายให้สะอาด โดยการงดกินเนื้อสัตว์  เพื่อจะขอพรต่อพระพุทธเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย  ก็ผิดหลักธรรมอยู่ดี  ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาอ้อนวอน  และถ้าไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งผิดไปกันใหญ่  เท่ากับนับถือเทพเทวดามากกว่าพระพุทธเจ้า  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา  มาร  พรหม  หมู่สัตว์  พร้อมทั้งสมณพราหมณ์และมนุษย์
ผมจำเป็นต้องบอกกล่าว  เพื่อให้ชาวพุทธได้เข้าใจหลักธรรมให้ถูกต้อง  ไม่หลงเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนาผิดเพี้ยนไป
หมู่มนุษย์โลกนี้  คือ  ฤๅษี  กษัตริย์  พราหมณ์เป็นอันมาก  อาศัยอะไรจึงบูชายัญ  บวงสรวงเทวดา  ขอพระองค์จงตรัสบอกความนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า  หมู่มนุษย์เหล่านั้น  อยากได้ของที่ตนปรารถนา  อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม  จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดาฯ ผู้บูชายัญเหล่านั้น  ยังเป็นคนกำหนัดยินดีในกาม  ไม่ข้ามพ้น  ชาติชราไปได้ฯ
ความหมายของพระสูตรชัดเจนทีเดียว  ขอให้ผู้ปฏิบัติพึงเข้าใจให้มากๆ  ไม่ละสังโยชน์แล้ว  จะทำนิพพานให้แจ้งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ (ฐานสูตร ๔-๓๓๑) เพราะสิ่งนี้จะเป็นการช่วยละสังโยชน์ข้อที่ ๓ คือ บทความทั้งหมดใน นิพพานด้วยปัญญา จะช่วยให้เข้าใจในเรื่องสังโยชน์ที่ ๓ สีลลพตประมาส
ก่อนที่จะตำหนิติโทษผม ขอให้ไปศึกษาธรรมดูใหม่  ว่ามีตรงไหนที่ผมกล่าวผิด  อย่าได้ยึดติดว่าสิ่งนั้นเคยทำตามกันมา  เช่นเดียวกับการเผากระดาษ
เหตุที่บทความตอนนี้ใช้ชื่อกุญแจธรรม  ผมจึงต้องไขข้อธรรมที่ทำกันผิดๆมาช้านาน  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจได้ถูกต้อง  การปฏิบัติจึงจะมีความก้าวหน้า

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทที่ ๒๓ นิพพานด้วยปัญญา (๗) จิตยิ้มคืออะไร

จิตยิ้มเป็นไฉนแตกต่างกับการยิ้มยังไง

หสิตุปบาท  คือกิริยาที่จิตยิ้มเอง  โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม  เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น  ไม่มีในปุถุชน  เพราะพ้นเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งแล้ว
                แม้การยิ้มของพระอริยเจ้าทั้งหลายก็ไม่ได้ยิ้มพร่ำเพื่ออย่างปุถุชนทั่วไปต้องมีเหตุที่จะยิ้ม  โอกาสที่จะเห็นพระอรหันต์ยิ้มนั้นไม่มี เพราะการยิ้มคือความพึงพอใจเป็นกิเลสตัวหนึ่งคือโลภะ แม้ในคัมภีร์หรือตำราหลายเล่มอาจมีการบ่งบอกว่า ขณะที่พระเถระบรรยายธรรมแทนพุทธองค์ พระเถระได้บรรยายโดยพิสดารคือสามารถอธิบายธรรมแม้บทด้วยให้มีใจความละเอียดลึกซึ้งจับใจ และธรรมที่มีความยาวก็สามารถย่นย่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น  พระพุทธองค์มีอาการขยับมุมปากนิดหนึ่ง บางตำราก็ว่าท่านแย้มพระโอษฐ์ ไม่ได้ยิ้มแต่แย้ม ตรงนี้อยู่ที่พระเปรียญธรรมทั้งหลายจะแปลความหมายออกมาให้เข้าใจและถูกต้องมากที่สุด
       ในอริยะเจ้าชั้นอนาคามี  สกทาคามี  และโสดาบัน  ยังมีโอกาสได้เห็นท่านยิ้มบ่อย  แต่ที่ท่านยิ้มคือยิ้มปกติที่ยังมีโลภะหลงเหลืออยู่ แต่ไม่ใช่จิตยิ้ม ถ้าหากได้ฟังธรรมอันเป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้อง  จิตของท่านก็จะยิ้ม ตรงนี้ก็ต้องอาศัยการสังเกตุว่าขณะที่จิตท่านยิ้มนั้น เราจะเห็นหน้าตาลักษณะท่าทางโดยเฉพาะที่ปากจะมีลักษณะเช่นไร  การยิ้มปกติกับการยิ้มด้วยจิตของท่านจะมีความแตกต่างกัน  ผู้ใกล้ชิดจะสังเกตเห็นได้

พระมหากัจจายนะ
                ในครั้งพุทธกาลมีพระเถระนามว่าพระมหากัจจายนะ  มีรูปร่างสง่างามผิวเหลืองดุจทองคำ  เป็นที่ต้องตาชื่นชมแก่ผู้พบเห็น  จนกระทั่งมีเหตุการณ์วิปริตเกิดขึ้น  มีบุตรเศรษฐีผู้หนึ่งเห็นพระเถระกำลังยืนห่มจีวรเพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง  ในดวงจิตคิดอกุศลว่า  งามจริงหนอ  พระเถระรูปนี้น่าจะเป็นภริยาของเราหรือให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้
                ด้วยอกุศลจิตมีเท่านี้  ทำให้เพศชายของเขาหายไป  กลายเป็นเพศหญิงทันที  เขามีความอับอายเป็นอย่างมาก  จึงหลบออกไปอยู่เมืองอื่นและได้เป็นภรรยาของชายเมืองนั้น
                ต่อมาพระมหากัจจายนะได้จาริกมาเมืองนี้  หญิงผู้นั้นได้เข้าไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระเถระฟังและกราบขอขมาโทษต่อพระเถระ  ท่านทราบเรื่องโดยตลอดแล้วก็ยกโทษให้  และเพศหญิงก็หายไป  เพศชายกปรากฏขึ้นดั่งเดิม  เขาเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระเถระ  จึงขอบวชในสำนักของท่าน  ส่วนลูกที่เกิดขึ้นกับภรรยา ๒ คน กับสามีอีก ๒ คน  ก็มอบให้บิดามารดาเลี้ยงดูต่อไป  ไม่นานนักคนผู้นั้นก็บรรลุพระอรหันต์
                เรื่องในสมัยพระพุทธกาลเกิดขึ้นเพราะจิตคิดอกุศล  แต่เรื่องเทพที่อยู่ในบทที่ ๑๗ หัวข้อมิจฉาทิฐิข้างต้นที่มีคนมาเล่าให้ผมฟังเป็นกุศลเจตนา  ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นไปได้  ไม่รู้ว่าคนอื่นได้ฟังมาเหมือนหรือแตกต่างไปจากผมบ้าง  ยังมีผู้ศรัทธาพระมหากัจจายนะหรือพระสังกัจจาย  ได้สร้างรูปหล่อบูชาองค์ท่านลักษณะ  ขัดสมาธิ  ท้องพลุ้ย  หรือนั่งชันเข่าคล้ายเจ้าสัวผู้มีโภคทรัพย์มาก  ส่วนใหญ่จะเห็นผิวกายหน้าท้อง  ใบหน้าอิ่มบุญหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่รู้คิดได้อย่างไร  ถ้าเป็นองค์อื่นที่ไม่ใช่พระสังกัจจาย  เป็นเทพองค์หนึ่งที่เขาศรัทธาก็ไม่ว่ากัน  แต่ถ้าเป็นองค์พระสังกัจจายตามที่มีคนทั้งหลายบอกมา  ก็เป็นความเข้าใจผิดขนาดถึงขั้นลบหลู่ท่านเลยทีเดียว
                พระสังกัจจายท่านเป็นพระอรหันต์  ถึงจะเนรมิต กายให้อ้วนท้องพลุ้ย  แต่ก็ยังสำรวมอินทรีย์  ไม่ห่มจีวรด้วยการไม่สำรวม  ไม่หัวเราะ  เพราะด้วยเหตุที่จะให้หัวเราะอันเป็นโลภะนั้นย่อมไม่มีในวิสัยของพระอรหันต์ทั้งหลาย 
                พระนั่งชันเข่าท้องพลุ้ยหัวเราะชอบใจ  บ้างก็ว่าเป็นปางเจ้าสัว  บางที่ก็ว่าเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยนั้นยิ่งลบหลู่หนักไปใหญ่  ที่พระพุทธเจ้าไม่สำรวม  เป็นกรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ที่ผมเขียนมานั้นเพื่อต้องการให้ผู้อ่านมีธรรมที่ละเอียดขึ้น ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา หรือเขามีมานานแล้ว
                  พระศรีอริเมตตรัยและพระสังกัจจายมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ พระศรีอริยเมตตรัยจะมีเม็ดพระศกให้เห็นส่วนพระสังกัจจายจะมีศรีษะโล้น พระพุทธเจ้าจะมีเม็ดพระศกพระสาวกจะไม่มี
                ชุมนุมเทวดา
                มีการโต้เถียงกันว่า  เวลานี้พระพุทธศาสนาเสื่อมลง  เพราะมีคนไปหลงยึดติดวัตถุมงคลกันมาก  ฝ่ายนิยมวัตถุมงคลก็ว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์(จตุคามรามเทพ)มาช่วยปัดเป่าทุกข์ให้ชาวบ้าน  ไม่ได้ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม 
เวลามีพิธีพุทธาเทวาภิเษก  เกิดสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่าง  ทางพระพุทธศาสนาเวลาเจริญพุทธมนต์ยังต้องชุมนุมเทวดาเลย  (สัคเค ฯ)
                ผมอยากจะเตือนสติชาวพุทธให้มีความเข้าใจพุทธศาสนาให้ถูกต้องไม่หลงผิดติดตามกระแสนิยมต่างๆที่เข้ามา  ไม่ว่ายุคใดสมัยใด
                เหตุผลใดๆที่เขากล่าวอ้างกันมาต่างๆนานาก็เรื่องของเขา  มาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าและเรื่องราวในพระไตรปิฎกดีกว่า  และใช้ปัญญาพิจารณาตามด้วย
                ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ที่จุติจากมนุษย์กลับมาเกิดในมนุษย์มีส่วนน้อยที่ไปเกิดในนรก  กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน  เปรตวิสัยมีมากกว่า  สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในเทพยดามีน้อย  เกิดในนรก  เกิดในสัตว์ดิรัจฉาน  ในเปรตวิสัยมีมาก  สัตว์จุติจากเทพยดามาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย  เกิดในทุคติมีมาก  สัตว์ในนรกเกิดในเทพยดาและมนุษย์มีน้อย  กลับไปเกิดในนรก  สัตว์เดรัจฉานและเปรตวิสัยมีมาก  สัตว์จุติจากสัตว์ดิรัจฉานไปเกิดเป็นเทพยดาหรือมนุษย์มีน้อย  เกิดในทุคติมากกว่า  สัตว์ที่จุติจากเปรตวิสัยไปเกิดเป็นเทพยดามีส่วนน้อย  เกิดในทุคติมากกว่าโดยแท้  (วาเสฏฐสูตร ๓-๒๖๙) 
                อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้  คนไปสวรรค์เท่ากับเขาโค  คนตกนรกเท่ากับขนโค  พวกที่ตกนรกส่วนใหญ่เป็นมิจฉาทิฐิ  ศึกษาธรรมก็เพียงแต่ลูบคลำเฉยๆ
                ครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และเสวยวิมุตติสุขอยู่นั้น  ได้พิจารณาเห็นธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นเป็นธรรมอันละเอียด  ลึกซึ้ง  เห็นได้ยาก  รู้ตามได้ยาก  ถ้าเราจะแสดงธรรม  สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถรู้ธรรมของเรา  เราไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุแล้ว  ดังนั้นพระองค์ทรงมีพระทัยที่ขวนขวายน้อยไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม
                ท้าวสหัมบดีพรหมทราบความดำริของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตนได้มีความดำริว่า ท่านผู้เจริญ  โลกจักฉิบหายหนอ  โลกจักพินาศหนอ  เพราะพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย  ไม่ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม
          ท้าวสหัมบดีพรหมจึงหายจากพรหมโลกลงมาอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค  แล้วคุกเข่าประณมอัญชลีต่อพระผู้มีพระภาคแล้วทูลต่อพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรม  ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรม เพราะสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในดวงตาน้อยมีอยู่  สัตว์เหล่านั้นย่อมเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม ผู้รู้ถึงธรรมจักมี
            พระพุทธเจ้าทรงทราบคำทูลของพระพรหมแล้วมีความกรุณา  จึงตรวจดูหมู่สัตว์ด้วยพุทธจักษุ  และได้เห็นสัตว์ทั้งหลายเปรียบเหมือนบัวสี่เหล่า  บางพวกสามารถสอนให้รู้ธรรมได้  จึงทรงรับคำทูลของท้าวสหัมบดีพรหม
          ฉะนั้นเวลาพระจะแสดงธรรม  จึงต้องกล่าวคำอาราธนาธรรมที่ท้าวสหัมบดีพรหมทูลขอต่อพระพุทธเจ้าว่า  พรหมมา  จะโลกาธิบตีฯ
          ซึ่งการกล่าวอาราธนาธรรม  ก็ไม่ได้ขึ้นสัคเคฯ ชุมนุมเทวดาก่อนแม้กาลอื่นๆ เช่น  ถวายสังฆทาน  สวดพระอภิธรรมก็ไม่มี  หาผู้รู้จริงได้ยาก  มีแต่สันนิฐานว่า  การขึ้นชุมนุมเทวดามีมาตั่งแต่เมื่อไร  พุทธกับพราหมณ์ผสมกันหรือเปล่า  เพราะงานมงคลที่เจ้าของบ้านจัดขึ้นจะมีสัคเคฯ เสมอ  เพื่อให้เทวดารับรู้ในงานมงคลนี้และกล่าวอนุโมทนา พร้อมนำข่าวการกุศลนี้ไปบอกกับญาติสายโลหิตของเจ้าของบ้าน  แม้ในบทกรวดน้ำยังมีว่า สัตว์เหล่าใดรู้ส่วนบุญนี้ ขอเทวดาทั้งหลาย จงบอกสัตว์เหล่านั้นให้รู้ ซึ่งบทกรวดน้ำนี้ก็มีการแต่งขึ้นภายหลัง
          การกล่าวสัคเคฯ น่าจะเป็นเรื่องของพราหมณ์ที่ฆราวาสนำมาใช้  แต่ฆราวาสสวดไม่ได้  พระกล่าวนำแทนและทำกันมาเรื่อยๆ  เราจะเห็นพิธีกรรมของพราหมณ์ที่มีการบวงสรวงเทพพรหม  การจัดเครื่องเซ่นที่แตกต่างกันไปของเทวดาชั้นต่าง ๆ ที่มีของคาวหวาน  ของพรหมจะเป็นผลไม้ทั้งหมด  เมื่อจัดเครื่องบวงสรวงเสร็จแล้วก็มีการกล่าวชุมนุมเทวดา  ซึ่งทางพุทธเอาของพราหมณ์มาใช้  ศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์เกิดก่อนศาสนาพุทธเป็นพัน ๆ ปี  ฉะนั้นพราหมณ์คงไม่ได้เอาของพุทธไปใช้แน่
                ผิดถูกประการใดตั้งแต่สมัยไหนไม่อาจจะรู้ได้  อีกอย่างบทชุมนุมเทวดาต้องขับเสียงยาว  มีลูกเอื้อน  ลูกคอ  เป็นอาการร้องเพลง  ผิดวินัยสงฆ์พระร้องเพลง  แต่พระส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ  เวลานี้ก็มีพระร้องเพลงโดยไม่รู้ตัวเยอะ  จะชี้โทษให้เห็นต่อไป
 

               ไหว้พระไหว้เจ้าไหว้เทพ                                                                        
คนส่วนใหญ่เวลาไหว้เจ้าหรือเทพมักจะมีอาหารคาวหวานถวายหรือเรียกว่าเซ่นไหว้นั่นแหละ  และมักจะไม่มีกำหนดเวลา  เที่ยงวัน  เที่ยงคืนก็ยังเซ่นไหว้กันได้  และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการไหว้เจ้าก็คือเหล้า  ให้พิจารณาว่าเทพหรือเจ้าเขาดื่มเหล้าสมควรไหว้หรือไม่
เวลาทำบุญที่บ้านมักจะมีการถวายข้าวพระพุทธ  แต่ในวัดไม่มี  แม้แต่ในโบสถ์หรือวิหารที่มีพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียง  มีรูปหล่อหลวงพ่อดังๆ  ไม่เห็นมีการเซ่นไหว้ด้วยอาหารเลย  ฉะนั้นการทำบุญที่บ้านที่มีการถวายข้าวพระพุทธเป็นการเอาอย่างหรือการบอกกล่าวของพราหมณ์  เช่นเดียวกับการกล่าวสัคเคฯ  พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้วไม่เสวยอาหารหรือน้ำ  ตัดความมีตัวตนไม่มีขันธ์ ๕เหลืออยู่ที่จะไปเสวยสิ่งใดๆ                                          ส่วนการไหว้บูชาพระพุทธด้วยดอกไม้ธูปเทียน  เป็นอามิสบูชา  เพื่อเป็นการระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง  ในอินเดีย  ศรีลังกา  มีการบูชาพระสถูป  เจดีย์  ต้นศรีมหาโพธิ์  ด้วยเครื่องหอมต่างๆ  ไม่มีการบูชาโดยการถวายด้วยอาหาร  ส่วนอาหารนำไปถวายแด่พระสงฆ์
                การฉันภัตตาหารของพระ  ก่อนฉันจะใช้ทำสมาธิเล็กน้อยและยกมือไหว้  ไหว้อะไร  ไหว้ลาข้าวที่ถวายพระพุทธ  เสสังฯ  บางทีก่อนหน้านั้นก็จะสวดพิจารณาอาหารเสร็จแล้วก็ เสสังฯ ก็มี  ดูพระท่านซียังถวายข้าวพระพุทธอยู่เลย นั้นก็แสดงถึงภูมิธรรมของท่านออกมา  การพิจารณาอาหารนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง  แต่ก็ยังมีมากกว่านั้น  มีอยู่ในบทข้างต้น เรื่องการให้ทานของนางทาสีชื่อว่านาค
          ส่วนการแก้บนด้วยอาหารคาวหวานต่างๆ พระพุทธท่านก็ไม่ได้รับ  แล้วใครจะได้รับเล่า  เทพหรือเทวดาที่อยู่ประจำรักษาองค์พระหรือสถานที่  ท่านก็ไม่ได้รับเพราะท่านอยู่ด้วยบุญของท่านเอง  อาหารของท่านก็เป็นทิพย์   ท่านได้แต่อนุโมทนาส่วนบุญเท่านั้น  มีแต่ลูกศิษย์ที่คอยอยู่แถวนั้น  เพื่อรอรับการแจกจ่ายทานของผู้แก้บน  ผู้แก้บนก็ได้บุญจากการแจกจ่ายทานนั้น
                รู้เท่าไม่ถึงการณ์
                ชาวพุทธที่เคยไปทำบุญที่วัดและมีโอกาสได้ฟังเทศน์  ฟังธรรมที่วัด  ซึ่งโดยปรกติก็จะเป็นเจ้าอาวาสเป็นผู้แสดงธรรม  โดยการนำคัมภีร์ใบลานมานั่งอ่านให้ฟัง  เพราะพระส่วนใหญ่ไม่ค่อยสันทัดในการแสดงธรรม  ไม่เหมือนกันบางวัดที่มีพระนักเทศน์ที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน  ไม่ว่าพระลูกวัดหรือเจ้าอาวาสเป็นผู้เทศน์จากคัมภีร์ใบลาน  ในคัมภีร์จะมีเรื่องราวต่างๆในพระไตรปิฎกก็มี  บางเรื่องก็มีการรจนาแต่งขึ้นใหม่จากพระมหาเปรียญ  ซึ่งในคัมภีร์ใบลานจะมีการพิมพ์บอกว่าโรงพิมพ์ไหนเป็นผู้จัดทำ  เรื่องที่ปรากฏใครเป็นผู้รจนา  บางคัมภีร์ผู้แต่งก็มรณภาพไปแล้วเสียส่วนใหญ่เพราะใช้กันมานาน  บางคัมภีร์ก็คัดลอกมาจากพระไตรปิฎกล้วนๆก็มี  ภาษาที่ใช้ในพระไตรปิฎกเป็นของเก่าทำให้ผู้ฟังไม่ค่อยเข้าใจ  จึงต้องแปลและเรียบเรียงใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย 
                หนอนทะเลาะกัน
                ครั้งหนึ่งผมได้ไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งและได้มีโอกาสได้ฟังพระเทศน์ด้วย  เรื่องที่เทศน์ที่เกิดขึ้นในคัมภีร์นั้นได้กล่าวถึงผู้หญิงหลายคนที่มีนิสัยต่างกันคือ  คนที่หนึ่งชอบขโมย  คนที่สองชอบกิน  คนที่สามชอบให้ท่าผู้ชาย  คนที่สี่ชอบพูดโกหกยุแหย่ให้ทะเลาะกัน
                พ่อแม่ทนการกระทำของลูกไม่ได้  อบรมเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแก้นิสัยได้  จึงนำลูกไปปล่อยลงเรือ  แล้วแต่ลมจะพัดพาเรือไปทางไหนตามยถากรรม  ไม่นานก็มีเรือสำเภาของพ่อค้ามาเจอและรับขึ้นเรือ
                หลังจากนั้นไม่นานก็มีเหตุวุ่นวายภายในเรือนั้น  ทำให้พ่อค้าเจ้าของเรือต้องทำการไต่สวนถึงสาเหตุนั้น  และจัดการเรื่องทั้งหมดให้เป็นที่เรียบร้อย  โดยให้ผู้หญิงที่ชอบลักขโมยเป็นผู้ไปเฝ้าสมบัติของพ่อค้า  หญิงนั้นเห็นสมบัติมากมายจนเกิดความเบื่อสมบัตินั้นเพราะเห็นอยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร  คนที่สองชอบขโมยของกินก็จัดให้ไปอยู่ในโรงครัวช่วยทำอาหารให้อยู่ให้กินอยู่ในนั้นจนไม่อยากไปขโมยของผู้อื่นมากินอีก  คนที่สามก็จัดการแต่งงานให้มีสามีเป็นตัวเป็นตนจะได้ไม่ต้องไปยั่วหรือให้ท่าผู้ชายคนอื่นจนเกิดการทะเลาะแย่งชิงผู้หญิงคนนั้น  ส่วนหญิงสาวคนที่สี่ชอบยุแยงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดทะเลาะกัน  คนนี้ไม่สามารถแก้ไขได้  จึงถูกจับลอยแพให้เป็นไปตามยถากรรม
                มีนกสองตัวผัวเมียกำลังเที่ยวบินอยู่แถวนั้น  ได้เห็นผู้หญิงถูกลอยแพอยู่กลางทะเลเกิดความสงสาร  จึงชักชวนกันไปช่วยผู้หญิงคนนั้น  โดยนกสองตัวนั้นเอาไม้ในแพมาคาบตัวละข้างและให้หญิงผู้นั้นจับไม้ตรงกลาง  แล้วก็พาบินขึ้นไปบนอากาศเพื่อจะไปส่งให้ถึงแผ่นดิน
                ขณะที่อยู่บนอากาศหญิงนั้นกลับยุแหย่ให้นกสองตัวนั้นเข้าใจผิดและเกิดการทะเลาะกัน  ทำให้ไม้ที่คาบอยู่หลุดออกจากปากนกนั้น  ทำให้หญิงคนนั้นตกลงมาจนถึงแก่ความตาย
                ศพของนางลอยมาติดที่ฝั่ง  และเป็นอาหารของสัตว์แถวนั้น  มีพระเดินทางไปพบศพที่เหลือแต่โครงกระดูกของนาง  จึงนำเอากะโหลกกลับมาที่วัดเพื่อใช้เป็นที่ตักน้ำ  ไม่นานก็เกิดมีการทะเลาะกันภายในวัดระหว่างพระกับฆราวาส  พระท่านพิจารณาแล้วจึงนำกะโหลกนั้นไปใช้ตักน้ำในห้องสุขาของพระ  และแล้วพระเณรก็ได้ทะเลาะกันอีก  แม้แต่หนอนในห้องสุขานั้นก็ไม่เว้นที่จะทะเลาะกัน
                พระทั้งหลายประชุมกันแล้ว  จึงให้นำกะโหลกนั้นไปฝังไว้ยังที่อื่น  เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะกันอีก
                สรุปแม้คนที่ตายไปแล้วมีนิสัยพูดจายุแหย่ให้ผู้อื่นได้ทะเลาะกัน  กะโหลกนั้นยังเป็นที่รังเกียจของคนทั้งหลายหาประโยชน์อะไรไม่ได้  นั้นเป็นโทษของวจีทุจริต  คือ พูดโกหก  พูดคำหยาบ  พูดส่อเสียด  พูดเพ้อเจ้อ
                ถ้าไม่พิจารณาให้ดีก็ดูเหมือนไม่มีอะไร  แต่ผู้ที่เคยศึกษาพระอภิธรรมมาบ้างจะเข้าใจว่าเรื่องนี้พระปุถุชนเป็นผู้แต่งขึ้นมาเพื่อจะให้เห็นโทษของการพูดมุสาแต่ไม่เข้าใจหลักธรรมที่ละเอียดกว่านี้ว่า  ธรรมดาเมื่อคนหรือสัตว์ที่ล่วงลับไปแล้วจะไปเกิดใหม่ทันทีตามบุญบาปที่ทำไว้  ส่วนร่างที่เหลือแต่กระดูกไม่มีคุณหรือโทษต่อใครๆ  ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อร่างเดิมที่มันดับไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้  ด้วยความไม่เที่ยง  ทำกรรมอะไรย่อมได้รับผลของกรรมนั้น
                ถ้าไปเกิดเป็นคนหรือสัตว์ก็ไม่สามารถจำสิ่งที่ทำไว้แล้วในอดีตชาติ  ถ้าเกิดเป็นเทวดา  เปรต  อสุรกายหรือสัตว์นรกก็จะรู้บุญที่ตนเองทำแล้วไปเกิดบนสวรรค์  และบาปที่ตนเองทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก  เปรต  อสุรกาย 
                กระดูกของคนที่ตายไปแล้วถูกทับถมไปทุกพื้นที่โดยไม่มีที่ว่าง  คนอย่างผู้หญิงเช่นนี้มีมากนับไม่ถ้วน  ไม่เห็นส่งผลใดๆเลย
                ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง  เพื่อให้นักปฏิบัติและผู้ศึกษาธรรมได้ปัญญาอย่างแท้จริง  มีเหตุและผลอันถูกต้อง  บางครั้งสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาอาจจะผิดตั้งแต่แรกก็ได้  แต่ได้ยึดถือหรือปฏิบัติกันมาแบบผิดๆเลยทำให้เข้าใจผิดไปด้วย
            เจตนาและความคิดของปุถุชนก็ดี  ไม่อาจเข้าถึงอริยะได้  จึงทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มี  ซึ่งยังมีเรื่องอื่นๆอีกมาก