กินเจ
กินเจ ที่ชาวพุทธฝ่ายมหายานประพฤติปฏิบัติกันมาช้านาน และเข้ามาในสังคมบ้านเรา จนเกิดเทศกาลกินเจขึ้นมา มีผู้พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับอานิสงค์ของการกินเจไว้มาก แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่อง ผมมีเรื่องของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งใหญ่มากได้เข้ามาเมืองไทย เพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่กล่าวโดยรวมว่าได้นำหลักของทุกศาสนามาใช้ โดยเฉพาะจะอ้างอิงหลักพุทธศาสนามากที่สุด
มีคนลักษณะเป็นผู้นำได้ชักชวนให้ผมเข้าไปปฏิบัติธรรมด้วย เน้นเรื่องการปฏิบัติจิต พูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เขาพาข้ผมไปยังสถานธรรมหลายแห่ง หาหนังสือที่ทางกลุ่มจัดพิมพ์ขึ้นมาให้ผมอ่าน เนื้อหาในหนังสือมีสิ่งดีๆเยอะ แต่ก็มีสิ่งขัดแย้งอยู่พอสมควร
กระดาษเงินกระดาษทอง
เรื่องสิ่งที่มีประโยชน์สมควรเผยแพร่ คือ เรื่องการเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ผู้ตาย ความว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีฮ่องเต้องค์หนึ่งได้ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆเกรงว่าราษฎรบางกลุ่มไม่ศรัทธา ทำการต่อต้านจะเป็นภัยต่อแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์นั้นจึงเรียกมหาอำมาตย์มาปรึกษาหาวิธีป้องกัน สรุปได้อุบายอย่างหนึ่ง คือ ฮ่องเต้ได้บรรทมและทรงพระสุบินไปว่า ได้ไปเที่ยวในเมืองนรก เห็นผู้คนถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ เนื่องจากการทำผิดศีล
เมื่อตื่นจากบรรทมแล้วนำเรื่องความฝันไปเล่าให้เหล่าเสนาอำมาตย์ฟัง ฝ่ายเหล่าเสนาอำมาตย์ก็ทูลถามเรื่องของนรกเป็นอย่างไร ฝ่ายฮ่องเต้ก็อธิบายให้เหล่าขุนนางได้เกิดความหวาดกลัว แล้วจะได้ไปบอกชาวบ้านว่าการทำผิดศีลอย่างนั้นๆ จะได้รับโทษทัณฑ์อะไรบ้าง ชาวบ้านก็จะอยู่ในความสงบ การปล้นฆ่า ลักทรัพย์ ฉุดหญิงชาวบ้านไปย่ำยี การฉ้อราษฎร์บังหลวง คดีความต่างๆก็ลดน้อยลง เพราะความกลัวตกนรก
แต่มีเหล่าขุนนางทูลถามต่อไปว่า ถ้าญาติพี่น้องของเขาตายไปต้องตกนรกแล้ว มีวิธีช่วยพวกเขาได้อย่างไรบ้าง ฮ่องเต้ก็มีอุบายบอกไปว่าให้เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้พวกญาติๆใช้จะได้ไม่ลำบาก
นั่นเป็นส่วนหนึ่งในอุบายการปกครองของฮ่องเต้องค์นั้น และก็มีการปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีชาวจีนส่วนหนึ่งที่มีความเห็นขัดแย้งกันและเลิกเผากระดาษกันแล้ว
หลักศาสนาพุทธชองเราไม่มีเรื่องอย่างนี้ การถวายทานทำบุญหรือการให้ทานชนิดต่างๆ ให้อานิสงค์ที่แตกต่างกันก็มีบอกไว้เช่นกัน แม้บุญที่อุทิศให้กับผู้ตายก็จะมีเปรตจำพวกหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถรับส่วนบุญนั้นได้
มีเรื่องการเซ่นไหว้ที่พระท่านชอบนำมาเทศน์อยู่เสมอคือ มีชายสองคนพ่อลูกไปทำนายังที่ดินของตน แล้วลูกชายถูกงูพิษกัดตาย ชายผู้เป็นพ่อจึงให้คนใช้นำศพลูกชายไปฝังไว้ที่ท้ายนา ทุกวันผู้เป็นพ่อจะให้คนใช้นำอาหารโปรดของลูกไปเซ่นไหว้ นานวันเข้าอาหารเก่าก็เริ่มเน่าส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีพระพุทธเจ้าได้บิณฑบาตผ่านมา คนใช้จึงบอกกับนายของตนว่า ผู้มีรัศมีงามสง่าผิวพรรณเปล่งปลั่งดุจทองคำผู้นั้น คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นายท่านควรจะถวายไทยทานกับพระพุทธองค์ เพราะพระองค์เป็นผู้เลิศกว่าใครในสามภพ
ชายผู้นั้นเห็นพุทธลักษณะของพระพุทธเจ้าก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าเพื่อถวายไทยทาน เสร็จแล้วชายผู้นั้นก็ถามถึงทานที่ตนได้กระทำแล้วเป็นอย่างไร และการที่ตัวเองเซ่นไหว้ศพของลูกชายด้วยอาหารทั้งหลายเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงทานที่มีผลมาก มีผลน้อย ทานที่ทำแล้วมีอานิสงค์เช่นไร ทำไปแล้วอุทิศให้กับญาติพี่น้องได้อย่างไร การเซ่นไหว้แบบที่เธอทำอยู่ นอกจากสิ้นเปลืองแล้วหาประโยชน์อันใดมิได้ ของเหล่านั้นก็เน่าเสียไปหมด เหมือนเรื่องของพระเจ้าพิมพิสาร ที่เปรตญาติพี่น้องมาขอส่วนบุญ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาจบลง ชายผู้นั้นก็กล่าวว่าขอข้าพระพุทธเจ้าเข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยตั้งแต่บัดนี้
มาดูเรื่องเผากระดาษกันต่อ ไม่ได้คิดแบบหลักพระพุทธศาสนานะ แต่คิดในแง่เหตุผลความเป็นจริง ถ้าการเผากระดาษนั้นไปถึงผู้ตายได้ เวลาไหว้คนตาย นอกจากพิมพ์รูปเสื้อผ้าของใช้ที่เคยทำกันอยู่แล้ว ทำไมไม่พิมพ์อาหารต่างๆ เป็นรูปสีสวยๆ บอกชื่ออาหารพร้อมกับภัตตาคารที่ปรุงอาหารไปด้วย ไม่ต้องไหว้หมู เป็ด ไก่ จริงๆกัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปมากและได้อาหารที่ถูกใจ แม้กระทั่งเผาบุญไปให้ นี่คิดแบบความเป็นจริงที่มีเหตุและผลของเขา และต่อยอดให้เขาด้วยนะ
ขณะที่ผมได้ไปร่วมกิจกรรมกับพวกเขานั้น ให้รู้สึกอึดอัดหาที่พึ่งไม่ได้ แม้จะบอกกล่าวกับผู้นำที่ชักชวนผมเขาก็พยายามที่จะดึงผมให้อยู่ให้ได้
สรุปคือผมสร้างบุญมาดี ได้พบกับพระอาจารย์ที่ชี้ทางสว่างให้กับผมให้ได้ดวงตาที่เห็นธรรม กับพระอาจารย์ผมไม่ได้ดิ้นรน แต่เจอะเจอได้ก็เพราะบุญที่ผมสร้างไว้ จู่ๆท่านก็มา สำหรับเรื่องของพระอาจารย์ก็มีบอกไว้ในตอนต้น
หลังจากนั้นทำให้ผมมองเห็นอะไรที่ชัดขึ้น โดยสิ่งที่อึดอัดกับการปฏิบัติธรรมของสถานที่ ที่ผมเข้าไปสัมผัสมา คือ ผู้ปฏิบัติธรรมระดับผู้นำต้องกินเจตลอดชีวิตไม่น้อยกว่าสิบปีจึงจะเป็นผู้นำกลุ่ม มีโอกาสที่จะถ่ายทอดธรรมให้กับผู้อื่นได้ กินเจสิบปีแล้วเป็นยังไง ธรรมะก็ไม่ได้สูงขึ้น ผู้ปฏิบัติทั้งหลายในกลุ่มนั้นไม่สามารถข้ามพ้นความเป็นปุถุชนไปได้ เพราะมีเหตุสำคัญคือ ในขั้นอบรมธรรมชั้นหนึ่งจะมีการเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าร่างทรงที่เป็นเด็กสาว โดยผู้ที่ลงมาเข้าร่างเป็นพระอรหันต์ด้วย ว่ากันไป
ตามหลักพุทธศาสนาไม่มีทรงเจ้า แต่เขาว่ามาเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลน้ำตา พูดถึงแม่คนแรก มาจากไหนต้องกลับไปอยู่ตรงนั้นคือแดนสุขาวดี บ้างก็ว่ามาจากแดนนิพพานต้องกลับไปแดนนิพพาน ถ้าพูดถึงแดนสุขาวดีก็เหมือนเทวโลกที่มีสวรรค์อยู่หกชั้น การที่ใครเคยมาแล้วจะไปอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าอยู่แดนนิพพานแล้วมาเกิดใหม่เพื่อฉุดช่วยผู้อื่น และจะได้กลับไปแดนนิพพานอีกก็เป็นเรื่องน่าเศร้าแล้ว ขัดกับหลักพระพุทธศาสนาของเรา
พระพุทธเจ้าเองระลึกชาติไม่มีที่สิ้นสุด ก็ยังไม่ไปหาแม่คนแรกเลย เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน จะไปหาไปรู้เรื่องแม่คนแรกทำไม รู้ไปก็ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเรื่องอจินไตย
คิดตามหลักเหตุผลความจริงอีกนะ ไม่ใช่คิดในแง่ของหลักธรรม ถ้าเราเคยอยู่ในแดนนิพพานหรือแดนไหนๆที่มีความสุขนิรันดร์ ทำไมจะต้องส่งให้เรามาเกิดเพื่อให้พบกับทุกข์มากกว่าสุข ให้เป็นนั่นเป็นนี่ และให้บำเพ็ญธรรมจะได้กลับไปที่เดิม ให้มาทำไมถ้ามาแล้วจะมาว่ายทะเลน้ำตาที่มีแต่ทุกข์ตลอด
พระพุทธเจ้าจึงให้ดูปัจจุบันไม่ต้องไปรู้แม่คนแรกเป็นใคร เคยเกิดเป็นอะไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการ คือ ๑. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้า ๒. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๓. วิบากแห่งกรรม ๔. ความคิดเรื่องโลกเหล่านี้ไม่ควรคิด เมื่อคิดบุคคลพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้าและเดือดร้อน (อจินติตสูตร ๓-๒๙๘)
มาดูพระอรหันต์ที่เขากล่าวอ้างกันต่อ พระอรหันต์ของเขามีกริยาไม่สำรวมแต่งตัวสกปรก ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบ้า เป็นขอทาน เด็กๆและผู้ใหญ่เคยเอาก้อนหินขว้างปา ถ้าเป็นอรหันต์จริง ชาวบ้านไม่พากันตกนรกหรอกหรือ ที่ไปทำร้ายพระอรหันต์อย่างนั้น แต่ก็มีคนจำนวนมากยกย่องให้เป็นอรหันต์ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ในหลายๆองค์ ที่ต่างคนต่างฝ่ายยกย่องสรรเสริญขึ้นมา ซึ่งล้วนแต่ขาดคุณสมบัติ ดังที่เขียนบอกไว้ข้างต้นนั้น
ที่บอกว่ากลุ่มสถานธรรมนั้นไม่สามารถล่วงพ้นการเป็นปุถุชนไปได้ นอกจากเหตุนี้แล้ว ยังมีเหตุอื่นอีก คือ บุคคลในสถานธรรมนั้นยังนิยมที่จะร้องเพลงอยู่ แม้เพลงนั้นๆจะเกี่ยวกับธรรมก็ตาม เพราะอริยบุคคลแม้ชั้นโสดาบันก็ไม่ร้องเพลง
นางวิสาขาร้องเพลง
ครั้งหนึ่งนางวิสาขาได้เปล่งอุทานด้วยเสียงอันไพเราะ ถึงความดำริของนางได้สมบูรณ์แล้ว ทำให้ภิกษุที่ได้ยินเสียงของนาง เข้าไปกราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า นางวิสาขาได้ขับร้องเพลง ด้วยอาการอย่างนั้นๆ ซึ่งในการก่อนพวกข้าพระองค์ไม่เคยเห็น หรือว่านางจะเสียจริตไปแล้ว
พระศาสดาได้ทรงแสดงเรื่องราวในอดีต และตรัสถึงความดำริที่นางได้ถวายปราสาทใหม่ ถวายเตียงตั่งฟูกหมอน ถวายสลากภัต ถวายผ้า ถวายเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำมัน น้ำอ้อย ครบบริบูรณ์แล้ว และตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ธิดาของเราย่อมไม่ขับเพลง เช่นเดียวกับภิกษุในพระศาสนานี้ย่อมไม่ขับเพลงตามที่บอกไว้แล้วข้างต้นเรื่องคีตสูตร
มีพระเณรบางส่วนยังหลงเข้าไปร่วมกิจกรรมกับเขาด้วย แต่ที่น่าเสียดายที่คนเหล่านั้นมีศรัทธาแต่หลงผิด ผิดตั้งแต่ความคิดผิดแล้ว เมื่อความคิดผิดแล้วอะไรๆก็ผิดหมด เหตุปัจจัยนั้นมีมากผมก็อธิบายไว้หลายเรื่องทีเดียว
เมื่อกล่าวถึงการเผยแพร่ธรรมของเหล่าชาวจีนแล้ว ยังมีข้อคิดอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหลวงจีนให้พิจารณา สังเกตจากหนังจีนทั้งหลาย เวลาฮ่องเต้มีพระบัญชาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่หลวงจีนต้องกระทำตาม จึงมีพระราชโองการไปถึงคณะหลวงจีน ผู้แทนของฮ่องเต้จะอ่านพระราชโองการของฮ่องเต้ หลวงจีนทั้งหลายต้องนั่งคุกเข่ารับพระราชโองการ ขอให้ชาวพุทธพิจารณาให้ดี หลวงจีนเหมือนกับพระของเรามั้ย ถ้าเหมือนกันคือเป็นพระสงฆ์แต่ต่างนิกาย พระไตรปิฎกฉบับเดียวกันหรือไม่ และที่สำคัญพระวินัยบทเดียวกันหรือเปล่า ถ้าใช่หลวงจีนกระทำเช่นนั้นก็เท่ากับลบหลู่พระธรรมและฮ่องเต้ละจะรับผลเช่นไร เมื่อเทียบกับวิบากกรรมของพระเจ้าพิมพิสาร ให้พิจารณากันดู พระสงฆ์ที่ศีลบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ทำการเคารพฆราวาสที่ศีลน้อยกว่า บาปกรรมจริงๆ ฆราวาสมีแต่ความเสื่อมถดถอย แม้พระสงฆ์ก็เช่นกัน เคารพบุคคลไม่ควรเคารพ ลูกชายแม้บวชแล้ว พ่อแม่ยังต้องกราบไหว้เลย แต่นี่ฮ่องเต้ให้พระนั่งคุกเข่าทำความเคารพอ่อนน้อม
เกริ่นเรื่องกินเจมาตั้งนานแต่ไถไปเรื่องอื่นก่อน แต่ก็มีความเกี่ยวเนื่องกันนะ เรื่องอานิสงฆ์ของการกินเจก็คงไม่มีอะไรมากนักเพราะมีผู้เขียนไว้เยอะ มาดูเรื่องของเราดีกว่า ในศาสนาพุทธบ้านเรามีคนกินมังสวิรัติและกินเนื้อสัตว์ แม้กระทั่งพระสงฆ์เองก็ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่
ผู้ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าพวกหนึ่งว่า ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานพระองค์ได้เสวยสุกรมัทวะ ที่นายจุนทะนำมาถวาย สุกรมัทวะนั้นคือกระดูกอ่อนของหมู อีกพวกหนึ่งก็ว่าสุกรมัทวะคือชื่อเห็ดชนิดหนึ่ง
ในเวลานั้นนายจุนทะได้ทำอาหารเพื่อจะถวายต่อพระพุทธเจ้าและพุทธสาวก เมื่อเป็นเช่นนั้น อาหารย่อมมีจำนวนมาก ถ้ากระดูกอ่อนของหมูตัวนั้นเป็นพิษ หมูตัวนั้นน่าจะได้รับพิษชนิดใดชนิดหนึ่ง พิษนั้นทำไมบังเอิญไปอยู่เฉพาะที่กระดูกอ่อน พิษนั้นไม่กระจายไปทั่วตัว ถ้าพิษกระจายไปทั้งตัวผู้ชำแหละเนื้อหมูจะไม่รู้หรือว่า หมูตัวนั้นโดนพิษ เนื้อหมูในส่วนอื่นก็คงถูกทำเป็นอาหารถวายพุทธสาวกด้วย แต่อาหารที่มีพิษที่แท้จริง ส่วนหนึ่งได้ถวายพระพุทธเจ้า ส่วนที่เหลือถูกกลบฝังไว้ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดที่โดนงูมาคายพิษใส่ ตามที่กลุ่มนิยมมังสวิรัติกล่าวไว้ หรือจะเป็นกระดูกอ่อนของหมู ตามที่ผู้ยังติดรสชาติของเนื้อสัตว์ว่าไว้อย่างนั้น
กินอย่างไรเพื่อละกิเลส
เรื่องมีอยู่ว่า ภิกษุจำนวนหนึ่งได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์แล้วมีความเห็นตรงกันว่า พวกตนสมควรจะฉันอาหารที่เป็นมังสวิรัติ เพื่อเป็นการละในรสชาติ และไม่เบียดเบียนสัตว์ เมื่อตกลงกันแล้วได้กราบลาพระอาจารย์ไปหาที่สัปปายะ เพื่อเจริญธรรม แต่ภิกษุเหล่านั้นไม่สามารถจะบิณฑบาตอาหารมังสวิรัติได้ ชาวบ้านในเขตนั้นไม่เข้าใจการปรุงอาหารมังสวิรัติ ทำให้ภิกษุลำบากต่อการฉันอาหาร จึงไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจและบำเพ็ญธรรมให้ก้าวหน้าได้ จึงกลับไปปรึกษาพระอาจารย์
พระอาจารย์แนะนำไปว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเธอเวลาจะฉันเนื้อสัตว์ก็ให้พิจารณาดังนี้ เนื้อที่ตนเห็น ๑ เนื้อที่ตนได้ยิน ๑ เนื้อที่ตนสงสัย ๑ พวกเธอไม่ควรบริโภค
เนื้อที่ตนเห็นก็คือ เห็นเขากำลังฆ่าเป็ดฆ่าไก่และทำอาหารมาถวาย เนื้อที่ตนได้ยินก็คือเนื้อที่กำลังร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานจากการถูกฆ่าเพื่อมาปรุงอาหารถวาย ส่วนเนื้อที่ตนสงสัยก็คือเนื้อที่เขาฆ่ามาเพื่อตนเอง ซึ่งยังมีเรื่องของเนื้อที่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับหมอชีวกที่เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ชีวกัมพวัน ดูก่อนชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกของตถาคต ผู้นั้นย่อมรับบาปเป็นอันมากด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ ๑. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ๒. เมื่อถูกสั่งให้ฆ่า ๓. เมื่อกำลังถูกฆ่า ๔. สัตว์เหล่านั้นย่อมรับทุกขเวทนา จากนั้นยังให้ตถาคตและสาวกยินดีด้วยเนื้อนั้น ผู้นั้นย่อมได้รับบาปไม่ใช่บุญ
หลังจากนั้นภิกษุทั้งหมดก็ลาพระอาจารย์กลับไปยังสถานที่เดิม ใช้ความวิริยะพากเพียร ภิกษุเหล่านั้นก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมดในพรรษานั้นเอง
เรื่องธรรมดาของพระพุทธเจ้า (อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์)
ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที ๓๐ ถ้วนคือ
๑. พระโพธิสัตว์ผู้มีภพสุดท้ายมีสัมปชัญญะรู้ตัว ลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
๒. พระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ของพระมารดา หันพระพักตร์ออกไปภายนอก
๓. พระมารดาของพระโพธิสัตว์ยืนประสูติ
๔. พระโพธิสัตว์ประสูติในป่าเท่านั้น
๕. พระโพธิสัตว์วางพระบาทลงบนแผ่นทอง หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือย่างพระบาท ๗ ก้าว เสด็จไปตรวจดู ๔ ทิศแล้วเปล่งสีหนาท
๖. พระโพธิสัตว์เมื่อประสูติแล้วทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกมหาภิเนษกรมณ์
๗. พระโพธิสัตว์ทรงถือผ้าธงชัยพระอรหันต์ บวชบำเพ็ญเพียรกำหนดอย่างน้อยต่ำสุด ๗ วัน
๘. เสวยข้าวมธุปายาสในวันที่ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ
๙. ประทับนั่งเหนือสันถัตหญ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
๑๐. ทรงบริกรรมอานาปานสติ
๑๑. ทรงกำจัดกองกำลังของพระยามาร
๑๒. ทรงได้คุณวิเศษมีวิชชา ๓ เป็นต้น ที่โพธิบัลลังก์
๑๓. ทรงยับยั้งใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์
๑๔.ท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาเพื่อให้ทรงโปรดแสดงธรรม
๑๕. ทรงประกาศพระธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
๑๖. ในวันเพ็ญเดือน ๓ ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในที่ประชุมสาวกประกอบด้วยองค์ ๔
๑๗. ประทับอยู่ประจำที่พระเชตวันมหาวิหาร
๑๘. ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ใกล้ประตูเมืองสาวัตถี
๑๙. ทรงแสดงพระอภิธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
๒๐. เสด็จลงจากดาวดึงส์สวรรค์ใกล้ประตูเมืองสังกัสสะ
๒๑. ทรงเข้าผลสมาบัติต่อเนื่องกัน
๒๒. ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ ๒ วาระ
๒๓.เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบท
๒๔. เมื่อมีเหตุต้นเรื่องเกิดขึ้นจึงตรัสชาดก
๒๕. ตรัสพุทธวงศ์ในสมาคมพระประยูรญาติ
๒๖. ทรงทำปฏิสันถารกับพระภิกษุอาคันตุกะ
๒๗. ภิกษุจำพรรษาแล้วถูกนิมนต์ ไม่ทูลบอกลาก่อนไปไม่ได้
๒๘.ทรงทำปุเรภัตกิจ ปัจฉาภัตกิจ กิจในปฐมยาม กิจในมัชฌิมยามและกิจในปัจฉิมยามทุกวัน
๒๙.เสวยรสมังสะในวันปรินิพพาน
๓๐. ทรงเข้าสมาบัติ ๒,๔๐๐,๐๐๐ สมาบัติจึงปรินิพพาน
อาหารมื้อแรกที่ทรงสำเร็จโพธิญาณคือข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาและมื้อสุดท้ายของนายจุนทะเป็นอาหารมังสวิรัติ อาหารทั้งสองมื้อนี้มีอานิสงส์เท่ากัน(พระพุทธเจ้าตรัสบอกกับพระอานนท์)
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพึงพิจารณาอาหารที่ยังบริโภคให้คุณหรือโทษต่อร่างกาย และการเจริญธรรม เมื่อจิตละเอียดขึ้นย่อมละได้เอง
ฉะนั้นการที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะบริโภคอาหารมังสวิรัติก็สมควรอยู่ แต่การกินเจนั้นก็ดี แต่เสียอยู่ที่ถ้ากินเจนั้น เพื่อต้องการจะขอพรจากพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่จะเสด็จลงมาโปรดในช่วงกินเจ ดังนั้นจึงต้องชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน บ้างก็ว่ามีพระพุทธเจ้าถึง ๙ พระองค์ บ้างก็ว่าพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์กับพระโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์ ล้วนเป็นอุบายเช่นเดียวกับฮ่องเต้ราชวงศ์ถัง ให้มีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
ผมก็ไม่ทราบว่าอุบายนี้เริ่มต้นอย่างไร พวกท่านทั้งหลายเข้าถึงธรรมที่แท้จริงแล้วหรือยัง ในเมื่อยังเข้าไม่ถึงธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีสิทธิ์เห็นพระพุทธเจ้าไปได้ เพราะผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต พุทธดำรินี้นักปฏิบัติทุกท่านจะรู้ดี ถึงจะกินเจตลอดชีวิต ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์แม้เทวดาก็ไม่มาหา พระธุดงค์ที่ทำผิดพระวินัยต้องมรณภาพในป่ามากมายเพราะศีลไม่บริสุทธิ์ เทวดาไม่รักษา ส่วนพระที่ศีลบริสุทธิ์อย่างหลวงปู่หลวงตาฝ่ายกรรมฐานที่เป็นที่รู้จักของชาวบ้าน พบเห็นเทวดาออกบ่อยไป บางครั้งพวกพระยานาคยังมาคอยดูแลความปลอดภัยให้ด้วยก็มี
พระศรีอริยเมตตรัยที่จะอุบัติขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปนั้นมีระยะเวลายาวนานมาก ศาสนาของพระพุทธโคดมองค์ปัจจุบันครบ ๕,๐๐๐ ปี แล้ว หลังจากนั้นตำราพระคัมภีร์พระไตรปิฎกก็จะค่อยๆสูญสลายหายไปในที่สุด ไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่ โลกก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง จนผืนดินราบเรียบเสมอกันจนหมดไม่มีภูเขาให้เห็นอีก ใช้ระยะเวลานับเป็นล้านๆๆๆปี คำนวณจากปัจจุบันคนเรามีอายุเฉลี่ย ๗๕ ปี ครบ ๑๐๐ ปี อายุจะลดลง ๑ปี จนไปถึงคนเราอายุสิ้นเพียง ๑๐ ปี จากนั้นอายุก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจาก ๑๐ ปี เป็น ๒๐ ปี ๓๐ ปี จนไปถึงอสงไขยปี จากอสงไขยปี ลดลงเรื่อยๆจนถึงแปดหมื่นปี เมื่อนั้นพระศรีอริยเมตไตรยจึงจะอุบัติขึ้น แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น พระศรีอริยเมตตรัยจะมาบังเกิด เพื่อสร้างบารมีเป็นครั้งสุดท้าย เช่นเดียวกับพระเวชสันดร สละภรรยาและบุตรเป็นทาน
ผู้ใดจะมีปัญญาเกินกว่าพระพุทธเจ้าไปได้ รู้ว่าตายเกิดอีกนานแค่ไหน
บอกก่อนว่าผมไม่ได้มีเจตนาในทางที่ไม่ดีใดๆ แต่ผมต้องการให้ชาวพุทธได้เข้าใจหลักธรรมที่แท้จริง ไม่มีการแอบแฝงอื่นใด ผมมีข้อคิดและเหตุผลอธิบายไว้ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา
การที่คนเราทำดีโดยการไม่กินเนื้อสัตว์ ทำไมจะต้องมีช่วงเวลา ถ้าคนเราเกิดตายขึ้นมาก่อนที่จะถึงช่วงเวลานั้น ก็ไม่ได้ทำดีแล้ว พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คนเรา ไม่ควรประมาท จะรอให้ถึงวันนั้นก่อนทำไม เหมือนกับรอให้แก่เสียก่อนจึงจะเข้าวัดนั้นก็เป็นการประมาท
ถ้าเป็นอุบายที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และคนทั้งหลายมีโอกาสที่จะได้ละบาปสร้างบุญแล้วก็เป็นการดี แต่อย่าได้กล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาในเวลานั้นเวลานี้ เป็นการชักนำผิดหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
แม้การชำระร่างกายให้สะอาด โดยการงดกินเนื้อสัตว์ เพื่อจะขอพรต่อพระพุทธเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ผิดหลักธรรมอยู่ดี ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาอ้อนวอน และถ้าไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งผิดไปกันใหญ่ เท่ากับนับถือเทพเทวดามากกว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์และมนุษย์
ผมจำเป็นต้องบอกกล่าว เพื่อให้ชาวพุทธได้เข้าใจหลักธรรมให้ถูกต้อง ไม่หลงเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนาผิดเพี้ยนไป
“หมู่มนุษย์โลกนี้ คือ ฤๅษี กษัตริย์ พราหมณ์เป็นอันมาก อาศัยอะไรจึงบูชายัญ บวงสรวงเทวดา ขอพระองค์จงตรัสบอกความนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดาฯ ผู้บูชายัญเหล่านั้น ยังเป็นคนกำหนัดยินดีในกาม ไม่ข้ามพ้น ชาติชราไปได้ฯ”
ความหมายของพระสูตรชัดเจนทีเดียว ขอให้ผู้ปฏิบัติพึงเข้าใจให้มากๆ ไม่ละสังโยชน์แล้ว จะทำนิพพานให้แจ้งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ (ฐานสูตร ๔-๓๓๑) เพราะสิ่งนี้จะเป็นการช่วยละสังโยชน์ข้อที่ ๓ คือ บทความทั้งหมดใน นิพพานด้วยปัญญา จะช่วยให้เข้าใจในเรื่องสังโยชน์ที่ ๓ สีลลพตประมาส
ก่อนที่จะตำหนิติโทษผม ขอให้ไปศึกษาธรรมดูใหม่ ว่ามีตรงไหนที่ผมกล่าวผิด อย่าได้ยึดติดว่าสิ่งนั้นเคยทำตามกันมา เช่นเดียวกับการเผากระดาษ
เหตุที่บทความตอนนี้ใช้ชื่อกุญแจธรรม ผมจึงต้องไขข้อธรรมที่ทำกันผิดๆมาช้านาน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจได้ถูกต้อง การปฏิบัติจึงจะมีความก้าวหน้า
มังสวิรัติ
ขอแนะนำ ถ้าตั้งใจจริง ศึกษาตำราทำอาหารมังสวิรัติแล้วมาดัดแปลง ถ้าชอบอาหารประเภทแกงเผ็ดต่างๆ ร้านค้าบางร้านทำพริกแกงไม่ใส่กะปิ อย่างนั้นก็ซื้อมาเก็บไว้ได้ และได้พริกแกงหลากหลาย น้ำจิ้มสุกี้ส่วนใหญ่ทานได้หมด ให้อ่านที่ส่วนผสมให้ดี ขนมจีนน้ำพริกส่วนใหญ่ใช้เกลือ มีบ้างใช้น้ำปลา มีบ้างใส่เนื้อหมูด้วย ถามเขาดู
ต้มถั่วเขียว หรือ ถั่วแดงเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อให้ได้โปรตีนไม่ขาด เต้าหู้แข็ง เต้าหู้อ่อน ทำอาหารได้สารพัด
เวลานี้มีอาหารทำจากเห็ด ๓ อย่างหรือ ๓ ชนิดที่มีประโยชน์ในการล้างสารพิษด้วย อาหารประเภทเห็ดก้ทำได้ง่าย ลองศึกษาวิธีทำดู
การล้างภาชนะก็อย่าได้ยึดติดมาก ดูให้ไม่ลำบากเกินไป ยกเว้นพวกกลิ่นแรง อย่างครกที่ตำปลาร้า กลิ่นไม่ค่อยออก อย่างอื่นก็คงไม่มีอะไรมาก เวลามีความรักความใคร่กอดจูบกัน ขณะที่จูบกันนั้นมีน้ำลายที่ต่างฝ่ายต่างกลืนกินเข้าไปด้วย น้ำลายก็เป็นของสัตว์มนุษย์และยังเป็นสัตว์มนุษย์ที่ทานเนื้อสัตว์ด้วยถ้าถือมากก็ไม่มีคู่แล้ว ในกรณีนี้หมายถึงผู้ที่กินเจตลอด ส่วนผู้ที่กินเจตามเทศกาลมักจะถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ด้วยต้องงดเรื่องกามกิจเพื่อความบริสุทธิ์ของศีล
กินน้ำลายของคนที่เป็นโรค ก็ติดโรคได้เหมือนกัน ดังนั้นไม่ควรนอกใจสามี หรือภรรยา มีคู่ผัวเดียวเมียเดียว ทำให้ปัญหาต่างๆลดน้อยลง
ฉะนั้นชาวพุทธที่ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพยายามงดเนื้อสัตว์ โดยเริ่มจากวันโกนวันพระ อาทิตย์หนึ่งละได้ ๒ วัน เดือนหนึ่งได้ ๘ วัน ปีหนึ่งได้ ๙๖ วัน ถ้าตั้งใจจริงแล้วไม่ลำบากหรอก อาทิตย์ละ ๒ วันเท่านั้นเอง โดยเฉพาะวันพระใหญ่ คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา ทำกันให้มากๆจนเป็นประเพณี ทำกันทั้งประเทศได้ยิ่งดี
มีข่าวผลการวิจัยออกมาว่า ผู้ที่ปวดหลังบ่อยๆ นอกจากความเครียดแล้ว ถ้างดโปรตีนจากสัตว์ลงได้ มาบริโภคโปรตีนจากพืช จะช่วยให้อาการปวดหลังทุเราลง แม้สมรรถภาพทางเพศของผู้ชายก็จะดีขึ้น
ระหว่างพระกับฆราวาสก็ยังมีข้อแตกต่างกัน ขณะที่พระไปจับต้องหรือสัมผัสกับสัตว์ตัวเมียเช่น สุนัข แมว ต้องปรับอาบัติทุกกฎ ศีลเศร้าหมอง เพราะเหตุจากพระป่ารูปหนึ่งได้เสพกับนางวานรต้องอาบัติปาราชิก แต่ครั้งแรกนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอยู่ปริวาสกรรมจึงจะพ้นโทษ ครั้งแรกเกิดจากพระสุทินที่ไปเยี่ยมบ้านพ่อกับแม่และภรรยาเก่า พ่อแม่ขอร้องให้สึก ถ้าไม่สึกก็ขอพืชนะท่าน พระสุทินเสียดายการบวชในศาสนานี้ บวชได้ก็จะได้มรรคผล ธรรมวิเศษ ถ้าสึกออกมาสร้างโลกก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร จึงยอมทำตามประสงค์ของพ่อแม่ ได้เสพกามกับภรรยาเก่าแล้วจนได้บุตร พระสุทินจึงเป็นปฐมเหตุสิกขาบทครั้งแรก ภิกษุเสพเมถุน ต้องปาราชิก ส่วนฆราวาสต่างกันไม่ผิดอะไร
ศรัทธากับงมงาย บางคนไม่เข้าใจ ที่ไม่เข้าใจคือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เข้าใจหลักธรรมแล้ว ประพฤติปฏิบัติไปแม้จะหวังผล คือ สวรรค์หรือนิพพานก็เป็นงมงายไป ทั้งที่สิ่งที่กระทำตามกันมา บ้างก็ยึดเป็นประเพณี ปฏิบัติโดยไม่ศึกษาหลักธรรมที่แท้จริง ก็ทำผิดตามๆกันมา มีหนังสือเกี่ยวกับธรรมะพิมพ์แจกกันหลายสำนัก บางเล่มก็ดี บางเล่มก็ผิดหลักธรรม โดยเล่มที่พิมพ์ผิดหลักธรรม ทำให้ผู้อ่านที่ไม่เคยศึกษาหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศึกษามาน้อย ก็จะเข้าใจและหลงผิดไป ส่งผลให้การปฏิบัติผิดไปด้วย
วันโกนให้ละวันพระให้เว้น
คงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง คนสมัยก่อนเวลาถึงวันโกนวันพระจะเข้าวัด ปฏิบัติธรรมและถือศีลแปดที่เรียกว่า อุโบสถศีล ใน ๒ วันนี้ หรือ ๓ วันคือก่อนวันโกน อีก ๑ วันจะงดบริโภคเนื้อสัตว์ก็ดีหรือจะบริโภคเนื้อสัตว์ก็ได้ แล้วแต่จิตของแต่ละคนจะละเอียดแค่ไหน
ถ้าเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเอกชนมักจะมีอาหารมังสวิรัติ ทั้งที่มีเนื้อและไม่มีเนื้อแยกกัน ส่วนใหญ่จะไม่มีเนื้อ แต่ถ้าเป็นที่วัดโดยส่วนมากจะเป็นอาหารที่มีเนื้อ เพราะพระต้องบิณฑบาตอาศัยชาวบ้านอยู่ จะไปกำหนดกฎเกณฑ์ชาวบ้านเขาก็จะลำบาก
ไปวัดไม่ได้จะถือศีลที่บ้านก็ดี แต่ถ้าศีลแปดจะลำบากหน่อย เพราะที่บ้านส่วนใหญ่จะเปิดทีวีดูกัน จะนอนบนฟูกก็ไม่ได้ ศีลแปดไม่ได้ศีลห้าก็ยังดี สะสมเอาไว้ ที่สำคัญในสองวันนี้ให้งดเว้นการร่วมประเวณี แม้จะเป็นสามีภรรยากัน ตรงนี้สำคัญมาก ที่คนโบราณเขาสอนกัน คนเรามีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ต่างกับสัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้จักวันไหนเป็นวันไหน จึงสมสู่กันไม่เลือกวันเวลาสถานที่
เมื่อก่อนได้ยินว่าพ่อข่มขืนลูก เดี๋ยวนี้มีลูกข่มขืนแม่แล้ว เพราะการไม่รู้จักละ ไม่รู้จักเว้น เด็กและวันรุ่นสมัยนี้จึงมีพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบนและแย่ลง ทำให้เกิดปัญหาของสังคมอย่างเช่นทุกวันนี้
อุโบสถศีล
อานิสงค์ของการถือศีลอุโบสถ เรื่องมีอยู่ว่า ณ กรุงพาราณสีมีปุโรหิตผู้หนึ่งไม่ชอบรักษาศีลมีแต่กินสินบนในการตัดสินคดีความ อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พระเจ้าพาราณสีตรัสถามปุโรหิตว่า อาจารย์รับศีลอุโบสถแล้วหรือ ทูลตอบว่ารับแล้วพระเจ้าข้า เวลาออกจากที่เฝ้า จึงมีอำมาตย์ผู้หนึ่งทักท้วงว่า ท่านยังไม่ได้รับศีลอุโบสถมิใช่หรือ ปุโรหิตตอบว่าใช่ แต่เราจะไปรับที่บ้าน เย็นวันนี้เราจะไม่รับอาหาร พอดีวันนั้นมีผู้หญิงต้องคดีคนหนึ่งรับศีลอุโบสถ ได้ค้างอยู่ในที่นั้น ปุโรหิตได้คั้นน้ำมะม่วงให้เป็นน้ำอัฏฐบาลให้ทานแก่ผู้หญิงนั้น
ต่อมาปุโรหิตนั้นได้ตายลง ไปเกิดในวิมานทองคำที่ป่าหิมพานต์ มีสวนมะม่วงทิพย์กว้างใหญ่ถึงโยชน์ มีหมู่นางเทพอัปสรห้อมล้อมเป็นบริวาร ปุโรหิตนั้นได้เสวยทิพย์สมบัติอยู่ตลอดคืน พอเช้าขึ้นก็กลายเป็นเปรตสูงเท่าลำตาล มีไฟลุกแดงทั้งตัว มีเล็บมือใหญ่เหมือนจอบกับเสียม จิกข่วนเนื้อที่หลังของตัวเองออกมากิน ทั้งร้องไห้ทนทุกขเวทนาอยู่ตลอดวัน พอค่ำลงก็กลายเป็นเทวดา เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเสมอมา
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นผลบาปและบุญได้ชัดเจน ว่าบาปบุญที่ทำในเวลาไหนก็ให้ผลตรงกับเวลานั้น เว้นแต่บาปบุญที่ไม่ได้ให้ผลพร้อมกัน ถ้าให้ผลพร้อมกันก็ต่างเวลากันเหมือนเรื่องนี้ และชี้ให้เห็นถึงอานิสงค์ของการรักษาศีลอุโบสถ ถ้าปุโรหิตคนนั้นรักษาศีลอุโบสถทั้งวัน ก็จะทำให้เสวยทิพย์สมบัติตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่เมื่อเสวยสุขจนหมดแล้ว ก็ต้องกลับมารับกรรมเป็นเปรตอยู่ดี ไม่สามารถพ้นกรรมที่ทำเอาไว้ได้
กุศลเหล่าใดเหล่าหนึ่งทั้งหมดนั้น บัณฑิตกล่าวว่า ความไม่ประมาทเลิศกว่า (ตถาคตสูตร ๒-๔๔๓) ดังนั้นคนเราไม่ควรประมาทพลัดวันประกันพรุ่ง แม้ผู้ปฏิบัติธรรมรักษาศีลอย่างเคร่งครัด เมื่อมีเหตุและปัจจัยก็สามารถจะทำผิดศีลได้ เพราะกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ส่งผลออกมา เหมือนภูเขาไฟที่ยังไม่ดับพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้เมื่อมีเหตุและปัจจัย
พระอริยะสาวกได้ดับเหตุและปัจจัยนั้นแล้วตามภูมิธรรมแต่ละขั้น หยุดการก่อภพสร้างชาติอีกต่อไป อย่างมาก ๗ ชาติ สำหรับพระโสดาบันขั้นต่ำ ๒หรือ๓ ชาติสำหรับโสดาบันขั้นกลาง และ ๑ ชาติ สำหรับเอกซีพีโสดาบันขั้นสูง เหมือนภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ระเบิดได้อีก
การกินเพื่อจะงดเนื้อสัตว์นั้น ถ้าไปกินพวกหมี่กึงที่เลียนแบบเนื้อสัตว์ต่างๆแล้ว จะให้โทษมากกว่า เพราะหมี่กึงทั้งหมดล้วนทำมาจากแป้ง และยังเป็นการยึดติดคิดอยากจะกินเนื้อสัตว์อยู่
ถ้าคิดว่าการงดกินเนื้อสัตว์แล้วจะได้บุญ ส่วนใหญ่ทำได้ไม่นานก็หันมากินเนื้อสัตว์อีก การงดเนื้อสัตว์ต้องมาจากใจผลจึงจะได้มาก โดยหาที่สงบนั่งสมาธิแล้วพิจารณาว่า ทุกคนเกิดมานับชาติไม่ถ้วนหาที่สุดมิได้ ทุกคนล้วนเคยเกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ มาแล้ว แม้พระพุทธเจ้าครั้งที่ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ก็ยังเคยเกิดเป็นสัตว์มาแล้ว ใหญ่สุดไม่โตกว่าช้าง เล็กลงมาจนถึงนกกระจอก เล็กกว่านั้นไม่เป็น แต่ผู้อื่นเป็น อย่างเช่นพระติสสะ เพราะความหวงผ้าเมื่อมรณภาพแล้วก็ไปเป็นตัวเล็นอยู่ ๗ วัน ชีวิตเขาชีวิตเรา ใครๆก็รักตัวกลัวตาย เมื่อเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน พ่อแม่ญาติพี่น้องของเราก็มีมากมาย บางคนกำลังเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ บางคนกำลังรับทุกขเวทนาในนรก บางคนก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ
พระติสสะเกิดเป็นเล็นเพราะความยึดติดหวงผ้า ขณะนั้นภิกษุทั้งหลายก็จะนำผ้าผืนนั้นไปใช้ พระพุทธเจ้าทรงห้ามเอาไว้ให้ครบ ๗ วันก่อน แล้วค่อยพิจารณาว่า ผู้ใดสมควรจะได้ผ้านั้น เพราะถ้ามีใครนำผ้านั้นไปใช้ในเวลานี้ พระติสสะที่เป็นเล็นจะโกรธ เมื่อตายแล้วจะไปบังเกิดในนรกเพราะความโกรธ
จึงทำให้รู้ว่าสัตว์แม้ตัวเล็กเท่านั้นยังมีจิตใจ มีความหวงแหน มีความโกรธ แม้สัตว์ที่ใหญ่ขึ้นก็เช่นเดียวกัน แล้วเรายังจะไปกินเลือดเนื้อของเขาอีกทำไม
ถ้าเนื้อสัตว์ที่เรากำลังจะกินอยู่ เขาเคยเกิดเป็นญาติของเรา เราจะกินเขาลงหรือ แม้เขาจะถูกผู้อื่นฆ่าตายแล้วก็ตาม ให้พิจารณาตรงนี้ให้นานๆ เพื่อให้เกิดความละอายที่เอาเลือดเนื้อของเขามาเป็นของเรา หรือพิจารณาให้เห็นสัตว์นั้นกำลังถูกฆ่า น้ำตากำลังไหลพรากวิงวอนขอชีวิต กำลังทุรนทุรายทรมาน สารของความเจ็บปวดเคียดแค้นถูกหลั่งไหลออกมา ถ้าเรากินเข้าไปก็จะไปสะสมความโกรธเกียจ
ให้พิจารณามากๆ จนจิตเกิดความสลดหดหู่เป็นธรรมสังเวช ให้รู้สึกเข้าไปในจิตเข้าไปในใจ จนเกิดความเกรงกลัวต่อบาปกรรมที่จะนำไปสู่นรก เมื่อทำอย่างนี้ได้จริงๆก็งดเว้นเนื้อสัตว์ได้ โดยไม่ได้คิดว่าสิ่งนั้นเป็นบุญ แต่คิดว่าทำไปเพื่อต้องการหลุดพ้นจากวัฎฎะสงสาร ถ้าคิดได้อย่างนี้และทำได้ ก็จะทำให้เหตุปัจจัยในข้อนี้มีโอกาสดับได้
เมื่อตายและเกิดใหม่ จะทำให้ชีวิตนั้นสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีศัตรูมาทำร้าย ผิวพรรณผ่องใส เป็นที่รักของเหล่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เพราะนอกจากศีลข้อปานาติบาตรจะสมบูรณ์แล้ว จิตจะเกิดความเมตตา เนื่องจากเห็นโทษในกรรมวิบาก เห็นธรรมกระจ่างชัดขึ้น จิตน้อมไปเพื่อต้องการหลุดพ้น
ศีลข้ออื่นๆก็พิจารณาเช่นเดียวกัน แต่ต้องศึกษาให้ละเอียดว่าองค์ประกอบที่ทำให้ผิดศีลข้อนั้นๆ มีอะไรบ้าง แต่การปฏิบัติแนวทางอื่น คือ พิจารณาความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความบังคับไม่ได้ไม่มีตัวตน ถ้าเข้าถึงจิตถึงใจจริงๆ ก็สามารถทำให้ศีลบริสุทธิ์ขึ้นได้เหมือนกัน
ในสมัยพุทธกาลมีการหุงข้าวด้วยนมสดก็มี ด้วยนมเปรี้ยวก็มี เพื่อถวายกับพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ แต่บ้านเราไม่ค่อยมีใครทำกัน มีก็แต่ข้าวมธุปายาส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น