เพิ่มคำอธิบายภาพ http://www.deviantart.com/ ... |
ทาน
๑. ความหมายของการให้ทาน
จุดมุ่งหมายเพื่อสละความตระหนี่เพื่อกำจัดความโลภ การให้ทานจะโดยวัตถุสิ่งของ โดยการให้ธรรมะ หรือแม้แต่การให้อภัยแก่ผู้อื่น ไม่ผูกพยาบาท อันเป็นจุดเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรม อย่าได้ปฏิเสธทานแม้แต่น้อยนิดแต่ให้ผลอันยิ่งใหญ่ เปรียบการปลูกผลไม้ เราใช้เมล็ดเพียงเม็ดเดียว ก็สามารถปลูกให้ต้นไม้ใหญ่โตได้และให้ผลผลิตมากน้อยก็ขึ้นอยู่ที่พื้นดินว่าเป็นเนื้อนาบุญเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาปก็ย่อมให้ผลเป็นทวีคูณเสมอ เช่น
-บุคคลให้ทานในสัตว์ดิรัจฉานพึงหวังผลทักขิณา (ทานเพื่อผลอันเจริญ) ได้ ๑๐๐ เท่า
-ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีลได้ ๑,๐๐๐ เท่า
-ให้ทานในปุถุชนผู้ทรงศีลพึงหวังผลได้แสนเท่า
-ให้ทานในปุถุชนภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกามพึงหวังผลได้แสนโกฏิเท่า (ปุถุชนภายนอก คือ นักพรต ดาบส ฤๅษี บุคคลที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา)
-ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติผลพึงหวังผลนับมิได้ ป่วยการจะกล่าวไปใยในพระโสดาบันและที่สูงๆขึ้นไป (ทักขิณาวิภังคสูตร ๗-๗๒)
สังฆทาน ๗ แบบ
ดูก่อนอานนท์ก็ทักษิณาทานที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่างคือ
๑.ให้ทานในสงฆ์สองฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
๒. ให้ทานในสงฆ์สองฝ่ายเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
๓. ให้ทานในภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว( ปัจจุบันยังมีอยู่ )
๔. ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
๕. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้เป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน ( ปัจจุบันยังมีอยู่ )
๖. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน ( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
๗. เผดียงว่าขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์ แล้วให้ทาน ( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
ผู้ใดได้ถวายทานแก่พระที่ออกจากการเข้านิโรธสมาบัติจะให้ผลทันตาในปัจจุบัน จนเป็นเหตุให้มีการโฆษณาหลอกลวงกันว่าที่วัดนั้นวันนั้นเวลานั้นจะมีพระชื่อนั้นออกจากนิโรธสมาบัติให้ชาวบ้านไปร่วมทำบุญใส่บาตรกัน ผู้ไม่รู้ก็แห่กันไป คิดว่าถ้าได้ทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติในวันนั้น อธิษฐานสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น และให้ผลทันตาในชาตินั้นถ้าเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ แต่ความจริงพระที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ต้องเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์เท่านั้นและยังต้องสำเร็จอรูปฌานขั้นสูงสุดคือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จิตขณะแรกเกิดเป็นผลจิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ และล่วงเสียเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วจึงออกจากนิโรธ
การอยู่นิโรธสมาบัติก็ใช้เวลาถึง ๗วัน เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติแล้วผู้ที่ทำทานใส่บาตรคนแรกและคนเดียวเท่านั้นจึงจะมีผล ครั้งนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรในอนาคตกาล ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ได้กล่าวมาเป็นอันดับ เริ่มจาก พระศรีอาริยเมตไตรยเป็นปฐมที่ ๑ แล้วจึงพระรามเจ้าที่ ๒ รองมาพระยาปัสเสนทิโกศลที่ ๓ พระยามาราธิราชที่ ๔ พระยาอสุรินทราหูที่ ๕ พระโสนะที่ ๖ พระสุภะที่ ๗ โตไทยะพราหมณ์ที่ ๘ พระยาช้างนาฬาคีรีหัตถีที่ ๙ พระยาช้างป่าเลไลยก์หัตถีที่ ๑๐ ครั้งนี้จะกล่าวถึงเรื่องของพระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์ได้ก่อสร้างบารมี ๑๐ ประการ มีทานและศีลเป็นอาทิมามากแล้ว จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานแห่งพระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์(พระยามาร) เป็นใจความว่า ครั้งพระพุทธศาสดาพระพุทธกัสสปทศพลญาณเจ้านั้น พระยามาราธิราชองค์นี้ได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีใหญ่แห่งสมเด็จพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช มีนามว่า โพธิอำมาตย์ อยู่มาวันหนึ่งองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าเข้าสู่ผลสมาบัติ ถึงกำหนดเวลาแล้วออกจากผลสมาบัติในที่ภายใต้ต้นไทรใหญ่ พระเจ้ากิงกิสสะราชทรงพระจินตนาแล้วว่า ถ้าแม้นบุคคลใดได้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าแล้ว จะบังเกิดอานิสงค์หาที่สุดมิได้ จึงสั่งราชบุรุษทั้งหลายให้ตีกลองร้องป่าวชาวเมืองว่า ถ้าผู้ใดถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราจะให้ลงพระราชอาญาบุคคลนั้น แล้วให้ราชบุรุษล้อมพระเชตวันมหาวิหารโดยรอบ ฝ่ายโพธิอำมาตย์เสนาบดีทราบเหตุนั้นแล้ว ก็ปรารถนาจะถวายทานแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบ้าง โดยมิเกรงกลัวพระราชอาญาเลย จึงไปบอกบุตรภรรยาให้รู้และช่วยนำอาหารเครื่องไทยทานเป็นห่อใหญ่และผ้าหนึ่งผืน ฝ่ายภรรยาได้ฟังสามีบอกดังนั้น ก็มีศรัทธารับวาจาสาธุ ครั้นรุ่งเช้านางก็จัดแจงแต่งเครื่องไทยทานทั้ง ๒ สิ่งนั้นให้แก่สามี พร้อมเครื่องไทยทานอีกส่วนหนึ่งของตนฝากสามีให้ไปถวายด้วย เมื่อมหาเสนาบดีไปถึงยังพระวิหาร พวกราชบุรุษที่แวดล้อมอยู่เห็นเข้า จึงตรงเข้าไปถามมหาเสนาบดีว่าท่านมาด้วยเหตุอันใด ฝ่ายมหาเสนาบดีได้ฟังก็คิดว่า ถ้าเราจะบอกบุรุษเหล่านั้นด้วยคำเท็จว่า พระราชาใช้ให้เรามาอาราธนาองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าไปยังพระราชนิเวศน์ก็ได้ แต่ไม่ควรที่เราจะมุสา ในเมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ซึ่งการที่เราจะกล่าวมุสานั้น ทานของเราจะไม่ส่งผลเลย จึงบอกความจริงแก่ราชบุรุษไปว่า เราจะไปถวายทานแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า เมื่อราชบุรุษได้ฟังคำของมหาเสนาบดีแล้วก็มีความโกรธจึงกรูกันเข้าจับตัวมหาเสนาบดีแล้วรีบนำตัวไปถวายพระราชา ครั้นพระราชาได้ทราบความแล้วก็ทรงพิโรธที่ผู้รู้ทำเสียเอง จึงมีรับสั่งให้เพชฌฆาตเอาตัวไปตัดศีรษะเสียในทันใด
ขณะที่เพชฌฆาตได้พาโพธิอำมาตย์มหาเสนาบดีไปที่ป่าช้าเพื่อจะทำการตัดศีรษะนั้น องค์สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์ด้วยญาณทิพย์แล้ว ทรงดำริว่ามหาเสนาบดีนี้เป็นหน่อบรมโพธิสัตว์เสมอวงศ์แห่งพระตถาคต มีอภินิหารเหตุแต่ก่อนจะกระทำกาลกิริยาตายเสียในวันนี้ จึงเนรมิตเป็นพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่ในพระวิหาร ส่วนพระองค์ได้หายตัวเสด็จไปอยู่ที่ป่าช้านั้น พร้อมกับบังตาเพชฌฆาตไว้ให้เห็นพระองค์เหมือนกับเหล่าราชบุตรทั้งหลายที่มานั่งอยู่นั้น เว้นแต่มหาเสนาบดีผู้เดียวที่เห็นพระองค์ จึงตรัสว่า ดูกรมหาเสนาบดีผู้เจริญ ท่านจงสละชีวิตของท่านเสียเถิด อย่าได้อาลัยในชีวิตนี้เลย อันว่าปัจจัยทานของท่านมีประการใด ท่านจงให้ทานยังจิตที่เลื่อมใสในพระตถาคตเถิด อันเครื่องปัจจัยทานของมหาเสนาบดีนั้น ราชบุรุษได้เอามาวางตรงหน้าแล้ว ด้วยพระพุทธานุภาพ เมื่อมหาเสนาบดีได้สดับฟังพระพุทธดำรัสดั้งนั้น จึงบังเกิดมีจิตโสมนัสหาที่เปรียบมิได้ ก็ถือเอาเครื่องปัจจัยไทยทานทั้งของท่านและของภรรยา ถวายแก่สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์โลกทั้งหลาย อันชีวิตนี้ข้าพระบาทเสียสละแล้ว ด้วยพระเดชะผลทานของข้าพระพุทธเจ้าในกาลบัดนี้ ขอให้ได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเหมือนดังพระองค์ในอนาคตกาลโน้นเถิด เมื่อโพธิอำมาตย์มหาเสนาบดีได้ตั้งปณิธานปรารถนาดังนั้น องค์สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้าทรงพระอนุเคราะห์ ยื่นพระหัตถ์ไปลูบเหนือศีรษะท่านมหาเสนาบดี แล้วทรงพยากรณ์ว่าตัวท่านปรารถนาประการใด ความปรารถนานั้นจงสำเร็จแก่ท่าน ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจะได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระธรรมสามี ครั้นทรงพยากรณ์มหาเสนาบดีแล้วก็เสด็จกลับ ฝ่ายเพชฌฆาตตัดศีรษะของมหาเสนาบดีขาดกระเด็นไปจนถึงกับความตาย แล้วมหาปฐพีอันใหญ่ก็หวั่นไหวเกิดโกลาหลเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก อันเป็นเหตุให้เศวตฉัตรของพระเจ้ากิงกิสสะราชหักลงจนพระองค์สะดุ้งสั่นไหว และในขณะนั้นเองทิพย์วิมานทองอันประกอบไปด้วยนางเทพอัปสรประมาณพันนางได้บังเกิดขึ้นในป่าช้าตรงที่ท่านมหาเสนาบดีได้เสียชีวิตลงพร้อมกับขุมทอง ๑๖ ขุม และไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง อันว่าบุตรภรรยาของท่านมหาเสนาบดีได้อาศัยอยู่ในวิมานทองนั้นเลี้ยงชีวิตสืบมาถึง ๕๐๐ ปี ฝ่ายโพธิอำมาตย์มหาเสนาบดีก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตสวรรค์ เสวยทิพย์สมบัติด้วยผลทานนั้น ครั้งเมื่อศาสนาของพระยามาราธิราชบังเกิดขึ้น มหาชนทั้งหลายจักได้บริโภคข้าวสาลีเป็นนิจกาลด้วยอนุภาพแห่งผลทานด้วยข้าวสุกห่อหนึ่งที่มหาเสนาบดีได้ถวายแก่พระพุทธกัสสปในครั้งนั้น พร้อมด้วยเศวตฉัตรสูง ๓ โยชน์ด้วยผลทานถวายผ้าผืนหนึ่ง
ดังนั้น การที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานอันเป็นความปรารถนาสูงสุดของชาวพุทธทั้งหลายนั้นก็เริ่มจากทานเป็นเบื้องต้น ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ก็เริ่มจากทานก่อน
เรื่องราวของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันซึ่งจะมีในลำดับต่อไปให้เกี่ยวด้วยเรื่องของศีล แต่ที่ยกเรื่องของพระธรรมสามีมานั้นก็เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์อีก ซึ่งจะมีอยู่ในเรื่องสัคคกถาสวรรค์ชั้นที่ ๖ เพื่อให้สอดคล้องกัน และให้มีความเข้าใจถูกต้อง แม้ทานที่ให้จะมีน้อยหรือมาก ดีหรือไม่ดี เมื่อเหตุสักแต่ว่า จิตเลื่อมใสแล้ว ย่อมมีผลหาที่เปรียบมิได้ ดังเรื่องของชายเข็ญใจผู้หนึ่ง
กุรุเทวะ ได้เที่ยวขออาหารกับภิกษุทั้งหลายเสมอ เลี้ยงชีวิตด้วยอาหารที่ได้มาอย่างยากและได้อย่างเล็กน้อย เป็นคนอนาถา กำพร้า ขัดสนไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ตัวคนเดียวแท้ๆ อาศัยนอนที่ริมเสาของศาลาหรือโคนต้นไม้ในวิหารนั้น ผ่านไปวันหนึ่งๆ การงานอะไร เช่น ปัดกวาดเป็นต้น เขาไม่ทำเลย อยู่อย่างนี้ไปหลายปี ต่อมาภายหลังพระสังฆเถระที่อยู่ในวิหารนั้น เที่ยวจาริกไปในวิหาร เห็นกุรุเทวะกินอิ่มแล้วนอนที่โคนต้นไม้ จึงตรวจดูด้วยทิพยจักษุว่าสัตว์จุติจากอัตภาพนี้แล้วจะเกิดที่ไหนหนอ ก็เห็นว่าล่วง ๗ วันไปแล้วเขาจุติแล้วจักเกิดในนรก จึงเรียกเขามาเพื่อให้โอวาทว่า พ่อแม่ ญาติพี่น้องของเจ้าไม่มี เจ้าไม่มีเงินทองไม่มีโชคลาภเป็นคนขัดสน เจ้ามีเครื่องนุ่งห่มขาดวิ่น มีเลือดไร ประกอบด้วยภัย มีผ้าเลวๆ เจ้าไม่ได้นอนแม้เสื่อ ไม่มีอะไรดีกว่านอนบนพื้นดิน เจ้าถือกะลาขอทานเที่ยวไปในเรือนนั้นๆ เป็นคนกินเดน(ของที่คนอื่นกินหลือ)เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนเปรต เมื่อเห็นคนมีบุญเขากินข้าวน้ำอร่อย เจ้าก็ได้แต่น้ำลายไหล เมื่อไม่ได้อะไรในที่นั้นก็ได้แต่ถอนหายใจร้องไห้หมดหวัง แม้เจ้าขืนเป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ เพื่อเป็นปัจจัยในภายหน้า คนที่จะเสมอเหมือนเจ้าไม่มีแล้ว เจ้าเป็นศัตรูแก่ตัวเองในภพทั้งสาม เนื่องจากเจ้าไม่ได้ทำบุญไว้ในภพก่อนดังนี้
กุรุเทวะฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์ เป็นคนกำพร้า อนาถา จะทำกุศลอย่างไร ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถามพระคุณเจ้าโปรดบอกทางที่ข้าพเจ้าจะไปสู่ความดับสนิทดังนี้
พระเถระกล่าวว่า ในแม่น้ำนี้มีปลามากหลายมีทั้งปลากา ปลากระบอก ปลาดุก กุ้ง ปลาตะเพียน เป็นต้น เจ้าเอาข้าวที่ขอเขามา เหลือจากที่เจ้ากินแล้วให้ทานแก่ปลาทั้งหลาย การให้ทานนั้นนำมาซึ่งสวรรค์และความสุขแก่เจ้า
จงถือศีล ๕ ให้ปราศจากมลทิน ศีลที่เจ้ารักษานั้นเป็นการเพียงพอเพื่อภพและโภคสมบัติและเพื่อนิพพานดังนี้
กุรุเทวะเมื่อฟังคำเถระแล้วมีจิตเลื่อมใสนมัสการพระเถระแล้วรับศีล ๕ ตั้งแต่นั้นมา เมื่อบริโภคแล้วเอาก้อนข้าวที่เหลือให้ปลาทั้งหลาย เขาทำบุญกรรมเพียงเท่านี้ล่วงไปได้ ๗ วัน จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนกุฎุมพีมีโภคสมบัติมากคนหนึ่ง ต่อมาได้ไปอยู่กับพระราชา รักษาศีล อยู่ตลอดชีวิต บังเกิดในเทวโลกเมื่อสิ้นสุดอายุ
กุรุเทวะสมาทานศีล ถวายทานเล็กน้อยในอดีตแก่ผู้รับซึ่งเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน เขาได้รับโภคะอันไพบูลย์อย่างนี้ในโลกนี้ และได้เข้าถึงสวรรค์แล้วดังนี้
ไทยธรรมแม้น้อยในเวลาให้ ย่อมมีผลมากในเวลาให้ผล เหมือนต้นไทรใหญ่เกิดจากเมล็ดเล็กๆ ต้นไทรจะไปบังท้องฟ้าเหมือนเมฆก้อนใหญ่ เช่นเดียวกับพืชที่รู้กันว่าเป็นกุศล แม้มีประมาณน้อย เมื่อหว่านลงในพื้นแผ่นดินแห่งพุทธบุตรผู้มีศีลผู้นั้นย่อมได้ทิพยสมบัติในหมู่เทวดา และความสุขในหมู่มนุษย์ในที่สุดได้นิพพานสมบัติอันหาอุปมามิได้ ดังนี้
เมื่อ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ มีเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก โดยเกิดธรณีพิบัติคลื่นสึนามิถล่มภาคใต้หลายจังหวัดของไทย จนเกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ได้มีหน่วยงานต่างๆให้ความช่วยเหลืออย่างมากมาย แต่ก็ยังให้ความช่วยเหลือได้ไม่ทั่วถึง มีหน่วยงานของรัฐจะจัดงานร่วมบริจาคทรัพย์และเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยผู้ประสบภัย แต่นายกในสมัยนั้น ได้สั่งการให้ระงับจัดงานในครั้งนี้ ด้วยเจตนาดีที่ไม่ต้องการให้ประชาชนทั่วไปต้องสิ้นเปลืองเงินทอง เนื่องจากยังมีเงินคงคลังที่จะให้ความช่วยเหลือได้
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในครั้งนี้ และก็ไม่มีใครทักท้วงหรือเตือนท่าน จึงเป็นเหตุไปขัดบุญของมหาชนทั้งหลาย อันไปเสริมวิบากเก่าให้เร็วขึ้น จนในที่สุดต้องยุบสภา
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ ผลของวิบากกรรมนั้นจะส่งผลเมื่อไหร่ ไม่อาจจะคาดเดาได้ มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าผลบุญหรือผลบาป จะส่งผลในชาตินี้หรือข้ามภพชาติ หรือส่งผลถึง 500 ชาติก็มี ( พระโมคคัลลานะ ถูกทุบตี ๕๐๐ ชาติ )
เมื่อช่วงต้นตุลาคม ๒๕๔๙ เกิดอุทกภัยน้ำท่วม ดินถล่มหลายจังหวัด ทางภาคเหนือไล่ลงมาจนถึงภาคกลาง เกิดน้ำท่วมขัง บางแห่งเป็นเดือน บางแห่งออกไม่ได้ต้องรอความช่วยเหลือ หน่วยงานราชการและเอกชนมากมายได้ระดมปัจจัยและเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ อันเป็นจุดเริ่มต้นของบุญโดยการให้ทานซึ่งมีผลมาก (และอุทกภัยเมื่อปี ๒๕๕๔ ด้วย )เนื่องจากทานในครั้งนี้ได้กระทำแก่คนจำนวนมาก และกำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างหนัก ทานในครั้งนี้นับว่ายิ่งใหญ่มีผลมาก ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละบุคคล ผลย่อมไม่เท่ากัน ในเวลานั้นได้เห็นคนที่มีทั้งจิตมารและจิตโพธิสัตว์มากมาย แม้ทานในครั้งนี้จะให้ผลมากแต่ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่ามหาทาน ผู้สร้างเจดีย์ทองสูงเทียมฟ้า ก็ยังไม่จัดว่าเป็นมหาทานเช่นกัน ผู้ใดรู้และได้ทำมหาทานแล้ว เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติสวรรค์เป็นเชื้อสายแห่งอริยะ ผู้มีปัญญาย่อมค้นพบเองในบทความของบล็อกนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรประมาท
มีหลายวัดได้จัดเครื่องสังฆทานให้แก่พุทธศาสนิกชนเพื่อความสะดวกในการทำบุญ บางวัดมีหลายจุดแล้วแต่สะดวก พระบางรูปก็ให้กล่าวคำถวายสังฆทานเลย บางรูปก็ให้สมาทานศีลก่อน คนที่จะไปทำบุญก็ต้องเช็คดูด้วยนะครับ เพราะอานิสงส์ต่างกัน