วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทที่ ๓ เริ่มบทนำ



เพิ่มคำอธิบายภาพ
http://www.deviantart.com/ ...
                                                                                        อรัมภบท
ผมได้รวบรวมเนื้อหาสาระที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธทั้งหลาย  โดยมีเหตุและผลมาประกอบเพื่อความเข้าใจพร้อมวิธีการปฏิบัติ  อันสามารถเป็นคู่มือได้
เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน เพราะผู้รู้มีมากแต่ปฏิบัติได้มีน้อย  บางคนศึกษามานานปีแต่ก็ยังไม่ได้อะไร บางครั้งก็จำเอาธรรมะที่ศึกษามา  มาพูดโอ้อวดกันบ้าง  เพื่อหาลาภยศและสรรเสริญบ้าง  เพื่อข่มผู้อื่นบ้าง  อันเป็นสิ่งไม่สมควร 
บทความนี้จะอธิบายถึงเหตุผลที่สามารถปิดประตูนรกได้จากหลายทางด้วยกัน  แต่ในหลายทางก็ไม่อยู่ในวิสัยของปุถุชนในสมัยนี้จะทำได้ง่าย  เนื่องจากพระอริยะลดลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา  มีเหตุผลอยู่ในบทความนี้แล้ว
ผมได้นำแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบุคคลทั้งหลายให้บรรลุธรรมตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์  โดยกล่าวถึง อนุปุพพิกถา และ  อริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอยู่เสมอ
ความจริงบางอย่างไม่สามารถนำมาลงได้  เพราะคนส่วนมากเคารพนับถืออย่างหลงงมงาย  แต่ผู้ที่อ่านและพิจารณาไปจนเกิดปัญญา  จะมองเห็นข้อความที่ไปหักล้างกับความหลงของผู้คนทั้งหลาย ที่ผมตั้งใจจะให้ผู้อ่านได้รู้  และเกิดปัญญาจริง  ถ้าผู้อ่านได้เข้าใจความหมายนั้นๆ จนเกิดปัญญาและซึมเข้าไปในจิต  ก็นับว่าผู้ปฏิบัติมาถูกทางแล้ว  และถ้ามีความเข้าใจเรื่องจิตไม่แก่  คือรู้แล้วเข้าไปในจิตก็ยิ่งใกล้ความสำเร็จเข้าไปทุกที
ยังมีเรื่องที่น่ากังวลใจอยู่มาก  ที่คนส่วนใหญ่ยังหลงยึดติดในรูปแบบและประเพณีที่มีมาช้านานทั้งของไทยและคนไทยเชื้อสายจีน  จนทำให้เนิ่นนานต่อการจะบรรลุธรรม  ใครรู้และเข้าใจจนละได้ก็นับว่ามีปัญญาที่แท้จริง
หวังว่า  บทความทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจ  ให้เข้าถึงความดับทุกข์ในเบื้องต้นจนถึงในที่สุดรู้แจ้งในธรรมขั้นสูงสุด
 บทความ วิธีปิดประตูนรก เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง สำหรับชาวพุทธที่ขาดที่พึ่งและสิ่งยึดเหนี่ยวที่ถูกที่ควร  โดยเฉพาะเนื้อหาสาระจะแตกต่างกับหนังสือธรรมะ  ที่มีการพิมพ์อยู่ทั่วๆไป  ซึ่งความแตกต่างนั้นผู้ที่เคยอ่านหนังสือธรรมะมาบ้างแล้วจะเห็นได้ชัดเจน
ซึ่งผมพยายามรวบรวมสาระที่พอจะหาได้  นำมาประกอบในการเขียน  เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์สูงสุด  จากตัวอย่างธรรมะที่ผมนำมาลงไว้ในบล็อกนี้
สำหรับผู้ที่เคยปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้วอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ  หลักการปฏิบัติธรรมที่สามารถปิดประตูนรกได้จริงของผม หากผู้ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลา ๕ ปี  ๑๐ ปี  แล้วยังทำไม่ได้  ที่ยังทำไม่เพราะเหตุอะไร  แล้วค่อยๆพิจารณาหลักธรรมและตัวอย่างที่ผมยกมาอย่างใคร่ครวญ  ผู้ปฏิบัติอาจจะเห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง  และสิ่งที่ทำให้ลังเลสงสัย  อาจจะถูกขจัดออกไปได้ด้วยตัวของท่านเองเช่นกัน
ลองทบทวนวิธีที่ท่านเคยปฏิบัติมา  กับความรู้ที่อาจารย์ของท่านได้ถ่ายทอดมาให้  อาจารย์ของท่านเป็นเช่น พระใบลานเปล่าหรือไม่
ผมไม่ได้แสดงธรรมเกินกว่าภูมิธรรมที่มีอยู่  สิ่งที่ผมบอกเป็นสิ่งที่ผมทำได้จริงจึงสอนจริง
กราบขอบพระคุณหลวงเตี่ยสุรเสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ลงมือปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง  และพระอาจารย์ศิระ  วุฒิสาโร  ที่ให้ธรรมะจนได้ดวงตาเห็นธรรม  และต้องกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือให้ผมได้เขียนบทความนี้เผยแพร่ ขอผลบุญนี้  จงบังเกิดมีแต่ครู-อาจารย์  ที่ตั้งใจอบรมข้าพเจ้ามาเป็นอย่างดี  ตลอดผู้มีพระคุณทั้งหลายมีบิดา  มารดา  และญาติทั้งหลาย  รวมทั้งผู้ที่อ่านและปฏิบัติธรรมตามบทความนี้  ให้ได้รับผลบุญนี้โดยทั่วกัน
ขออำนาจกุศลนี้  จงช่วยชำระจิตของข้าพเจ้า  และผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำบทความนี้   เป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งความเสื่อมและความเจริญ  เป็นผู้เฉียบแหลมในอรรถและธรรม  ให้ญาณเป็นไปไม่ข้องขัดในธรรมที่ควรรู้  ให้พ้นจากกรรมอันชั่วช้าทั้งหลาย เป็นผู้ได้โอกาสแห่งการบรรลุธรรม  ตั้งแต่โสดาบัน  สกิทาคามี  อนาคามี  และอรหันต์  ตามบารมีธรรมของแต่ละบุคคลด้วยเทอญ
          เวลานี้มีผู้ปฏิบัติผิดหลงผิดกันอยู่มาก  โดยเฉพาะผู้หลงบุญ  มุ่งสร้างแต่บุญ  เพื่อหวังว่าตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์  แต่ไม่คิดที่จะละบาปและไม่คิดที่จะหาทางปิดอบายหรือปิดประตูนรก  เมื่อผู้ปฏิบัติหลงบุญอยู่  เมื่อแตกกายตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ไปเสวยบุญของตัวเอง  เมื่อเสวยบุญหมดก็ไม่พ้นที่จะตกนรก  เพราะเขาไม่รู้เลยว่าในอดีตชาติเขาสร้างเวรก่อกรรมอะไรไว้บ้าง  ที่เป็นวิบากกรรมต้องทำให้ตกนรก  เนื่องจากคนเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน  วิบากกรรมบางอย่างข้ามภพข้ามชาติ  บางอย่างรับกรรมอย่างนั้นหลายร้อยชาติ
        พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบุญบารมีมหาศาลไปบังเกิดบนสวรรค์  บนพรหมโลก  แต่ก็ไม่พ้นกรรมต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เป็นสัตว์นรก  เป็นพระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถพ้นเรื่องนี้ไปได้  ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่รับรองกำหนดภพชาติของปุถุชนได้  นอกจากพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป  แล้วท่านล่ะปิดประตูนรกได้หรือยัง  อย่ามัวแต่หลงบุญอยู่เลย  จนไม่สนใจการปิดอบายภูมิทั้ง๔


       ทำไมจึงต้องปิดประตูนรก
นรก  สวรรค์  นั้นมีจริงหรือไม่  ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงนรกและสวรรค์ไว้มากมายหลายตอน  เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ทำบุญและสร้างบาป  จะต้องได้รับผลวิบากเช่นไร  พวกที่เป็นมิจฉาทิฐิ  จะไม่มีความเชื่อเรื่องนี้  เพราะคิดว่าตายแล้วสูญ  ภพหน้าภพหลังไม่มี
ความจริงคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่  จะมีความเชื่อเรื่อง  ทำดีได้ขึ้นสวรรค์  ทำชั่วต้องตกนรกอยู่แล้ว  แต่ก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ดี
เนื่องจากขาดความรู้  ความเข้าใจชีวิต  ในแบบอย่างพุทธศาสนาที่แท้จริง  จึงได้แต่อาศัยเงาของพระพุทธศาสนาอยู่เป็นส่วนมาก  ที่ลูบๆคลำๆก็มีอยู่ไม่น้อย  ที่เข้าถึงกระพี้ก็มีอยู่หน่อย  ที่เข้าถึงแก่นยิ่งมีน้อยไปใหญ่
แต่พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง  เหมือนกับแก่นของต้นไม้ที่ต้องมีกระพี้และเปลือก  ต้นไม่จึงจะอยู่ได้  พร้อมยังมีกิ่งก้านสาขาและใบ  ที่ให้ความร่มเย็นแก่คนทั้งหลาย  ที่ยังเข้าถึงแก่นไม่ได้
เมื่อเปรียบคนทำดีที่จะได้ขึ้นสวรรค์มีเท่ากับเขาโค  เปรียบคนที่จะต้องตกนรกเท่ากับขนโคแล้ว  มันต่างกันอย่างลิบลับ
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายส่วนใหญ่ก็หวังนิพพานกันทั้งนั้น  แต่ในปัจจุบันจะหาพระอรหันต์สักรูปหนึ่งยังหาได้ยากเลย  พระที่ท่านปฏิบัติมาเป็นสิบๆปี  ยังไปไม่ถึงไหนเลยก็มีมาก  ขนาดท่านทุ่มเทอย่างนี้แล้วยังติดอยู่แค่เปลือกเอง
พระพุทธศาสนาตั้งอยู่ได้ห้าพันปี
ภายในพันปีที่ ๑ ยังมีพระอรหันต์  ผู้ได้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ
           ภายในพันปีที่ ๒  ยังมีพระอรหันต์  ประเภทสุกุขปัสสกะ
           ภายในพันปีที่ ๓  ยังมีผู้ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอนาคามี
          ภายในพันปีที่ ๔  ยังมีผู้ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระสกทาคามี
          ภายในพันปีที่ ๕  ยังมีผู้ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน
และผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะไปถึงนิพพานได้ง่ายอย่างไร  นับวันผู้ที่บรรลุธรรมสำเร็จอรหันต์ก็มีแต่จะน้อยลง  แต่อย่างไรเสียพระอรหันต์ก็ยังไม่หมดไปจากพระพุทธศาสนา  พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี   พระอนาคามี  ก็ยังมีอยู่และมากกว่าพระอรหันต์อีก  พระอรหันต์ที่ผู้คนส่วนใหญ่ค้นหากันอยู่  บางทีพระท่านสำเร็จอรหันต์เมื่ออายุมากแล้วก็มี  ทำให้การอบรมสั่งสอนของท่านมีเวลาน้อย  ท่านก็ละสังขารเสียแล้ว  บางทีร่างกายของท่านก็ไม่แข็งแรง  ถูกโรคภัยเบียดเบียน  อันเนื่องจากกรรมเก่าที่ท่านเคยกระทำเอาไว้มาส่งผล  เพราะท่านสำเร็จอรหันต์แล้วไม่ต้องมาเกิดอีก  จึงต้องชดใช้กรรมในชาตินี้ให้หมดตามเหตุและปัจจัย
อีกอย่างหนึ่งคือธรรมของพระอรหันต์นั้น  ล้วนเป็นธรรมสั้นๆ  กระชับ  เพื่อมุ่งความหลุดพ้น  เป็นธรรมอันลึกซึ้ง  ยากที่ปุถุชนทั่วไปจะเข้าถึงธรรมนั้นได้ง่าย  ต้องอาศัยระยะเวลา แต่เวลาของผู้ปฏิบัติไม่มากพอ  มีภารกิจของทางโลกทำให้วุ่นวาย  ธรรมไม่ต่อเนื่อง  เมื่อเข้ามาทางกระแสของทางโลก  จึงทำให้หลงไปกับทางโลกอีก  และถ้าดูตัวเลขตามข้างบนศาสนาพุทธอยู่ภายในพันปีที่ ๓ จะหาพระอรหันต์ได้ที่ไหน
ฉะนั้นการปฏิบัติต้องอาศัยความเพียรเป็นสำคัญ  ประกอบกับต้องมีบารมีเก่าช่วยเกื้อหนุน  ทำให้มีปัญญาเข้าใจหลักธรรมได้เร็วขึ้น
จึงจำเป็นต้องเพิ่มบารมีธรรมมิให้ขาด  เหมือนกับเติมน้ำลงในตุ่มใหญ่  วันนี้เติมไปแล้ว ๑ แก้ว  พรุ่งนี้เติมไป ๑ ขัน  ทำไปเรื่อยๆไม่ต้องท้อถอย  สักวันหนึ่งน้ำก็จะเต็มเอง  หมายถึงเมื่อบารมีเต็มแล้ว  การจะเข้าใจหลักธรรมก็จะไปได้เร็วหรือขั้นบรรลุธรรมขั้นต่างๆจนถึงอรหันต์ได้  ซึ่งต่างกับน้ำที่เต็มแล้วไม่ยอมรับน้ำใหม่เข้ามา  เพราะมันเป็นมิจฉาทิฐิ
พระพุทธเจ้าใช้เวลาที่สร้างบารมีไว้เพื่อความสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า  ต้องใช้เวลา ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนกัป  และพระศรีอริยเมตไตยต้องทรงสร้างบารมีมากถึง ๑๖  อสงไขยกับหนึ่งแสนกัป
พระพุทธเจ้าพุทธโคดม  องค์ปัจจุบันตรัสรู้ในช่วงของกลียุค  ข้าวยากหมากแพง  แต่ในยุคของพระศรีอริยเมตไตย  ตรัสรู้ในยุคศิวิไล  ที่ผู้คนมีอายุยืนถึงแปดหมื่นปี  ผู้คนทั้งหลายล้วนแต่เสพสุขจากข้าวของที่เกิดขึ้นจากต้นกัลปพฤษ์  ทุกคนล้วนสมบูรณ์หมดทุกอย่าง    จึงเป็นที่ปรารถนาของคนทั้งหลายที่อยากไปเกิดในยุคนี้ 
แต่ก็เป็นความเข้าใจผิด  ที่คิดว่าจะไปได้ง่ายๆ  เพราะปัจจุบันศีลไม่บริสุทธิ์ก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว  เช่น  มือเท้าไม่ครบ  เนื่องจากต้องรับวิบากกรรม  จากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลบหลู่พระศาสนาด้วยกริยาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นต้น
กว่าพระศรีอริยเมตไตยจะมาตรัสรู้  ต้องกินเวลามากไม่รู้เท่าไหร่  ตามตำราว่าอายุปัจจุบันเฉลี่ย ๗๕ ปี   ๑๐๐ ปี  ลดลง ๑ ปี  จนคนเรามีอายุ ๑๐ ปี  จากนั้นก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  จาก ๑๐ ปี  เป็น ๒๐ ปี  จนไปถึงอสงไขยปี  แล้วจากอสงไขยปีลดลงถึงแปดหมื่นปี  พระศรีอริยเมตไตยจึงจะอุบัติขึ้นในโลก  เมื่ออายุสี่หมื่นปีจึงบวชและตรัสรู้ภายใน ๗ วัน
ความจริงก็เป็นเรื่องของตัวเลขที่ถ่ายทอดกันมา  พอหมดยุคของศาสนาพุทธแล้ว  ทุกอย่างก็สูญหายหมดไม่เหลือตำราหรือคัมภีร์ใดๆให้ศึกษา
ถ้าคำนวณจากตัวเลขก็ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆปี   ต้องรับวิบากกรรมอยู่ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ  แค่เข็มฉีดยาเล็กๆก็เจ็บกลัวอยู่แล้ว  ถ้าต้องตกนรกจะรับไหวหรือ  แต่นรกเจ็บอย่างไรก็ไม่ตาย  นรกบางขุมตายแล้วก็ฟื้น   มีแต่ความเจ็บปวดทรมาน  เมื่อพบพระพุทธศาสนาแล้วถือเป็นมงคลสูงสุด  ให้เร่งปฏิบัติเถิด
บทความปิดประตูนรกนี้จึงได้เกิดขึ้นมา  เพื่อเป็นทางเลือกอีกทางของผู้แสวงหาความพ้นทุกข์  จงอ่านดูหลายๆเที่ยว  ทำความเข้าใจให้มากๆ  จะค้นพบปัญญาที่แท้จริง 
ก่อนจะปิดประตูนรก  จำเป็นต้องรู้มูลฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว  ได้สอนสิ่งที่รู้อย่างไรบ้าง  จึงทำให้บุคคลเหล่านั้น  ได้บรรลุธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง อนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จบแล้ว  ยังจิตให้คนทั้งหลายเลื่อมใส  จนบรรลุอริยมรรค  ตั้งแต่โสดาบัน  สกิทาคามี  อนาคามี  และอรหัตผล  ที่เหลือล้วนดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์  ประการตนเป็นพุทธมามกะ
ปัญจวัคคีย์ได้ฟังพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร  ว่าด้วยส่วนไม่ติดข้องหาที่สุด 2 อย่าง  คือ  กามสุขัลลิกานุโยค  และ  อัตตกิลมถานุโยค  วิธีปฏิบัติแบบมัชฌิมาปฏิปทา  ทางสายกลางประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘
เมื่อจบพระธรรมเทศนา  พระโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล  ต่อจากนั้น  ท่านได้กราบทูลขออุปสมบท  ที่เหลืออีก ๔ ท่าน  ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันในวันต่อๆมา  และอุปสมบทด้วยกันทั้งหมด  พระปัญจวัคคีย์มีญาณแก่กล้าแล้ว  พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระธรรมเทศนา อนัตตลักขณสูตร คือสูตรที่แสดงลักษณะแห่งเบญจขันธ์ว่าเป็นอนัตตา  ความไม่มีตัวตน  โปรดพระปัญจวัคคีย์  เมื่อจบพระธรรมเทศนา  ก็ได้บรรลุอรหัตผลด้วยกันทั้งหมด
ชฎิล ๓ พี่น้องได้ฟัง อาทิตยปริยายสูตร จากพระพุทธเจ้า  ทรงเปรียบเทียบสิ่งของทั้งปวงเป็นของร้อนดุจเดียวกับไฟ  เพื่อให้เหมาะสมกับอัธยาสัยของพวกเธอที่เคยบูชาไฟมาก่อน  ทรงแสดงถึงอายตนะภายในคือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  และใจเป็นของร้อน  อายตนะภายนอกคือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  และธรรมารมณ์เป็นของร้อน  และความรู้สึกว่าเป็นสุข  เป็นทุกข์  ไม่สุข  ไม่ทุกข์  เพราะตาเห็นรูป  หรือหูได้ยินเสียง  เป็นต้น  กับเป็นของร้อน  ร้อนเพราะราคะ  โทสะ  และโมหะ  ผู้ที่รู้ทันกิเลสเหล่านี้ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งปวง  ย่อมคลายกำหนัด  จนจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป
ภิกษุชฎิลพร้อมบริวาร ๑,๐๐๓ รูป  ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วได้ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรมเทศนา  จิตของท่านก็หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง  และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด
พระสารีบุตรได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ  ความว่า ธรรมเหล่าใด  มีเหตุเป็นแดนเกิด (เกิดแต่เหตุ) พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น  พระมหาสมณะตรัสอย่างนี้
พระสารีบุตร  ได้ฟังหัวข้อธรรมนี้จากพระเถระเท่านั้นก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน  เกิดธรรมจักษุ  คือ  ดวงตาเห็นธรรมว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา
และพระโมคคัลลานะก็ได้ฟังธรรมเช่นนี้จากพระสารีบุตร  ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม  บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นเดียวกัน
พระเจ้าพิมพิสาร  นางสุชาดาและสามีพร้อมด้วยบุตร (พระยสะ)  และประชาชนอีกจำนวนมากเคยฟังอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จากพระพุทธเจ้า  ล้วนสำเร็จพระโสดาบันบุคคลเป็นส่วนใหญ่  แม้พระยสะบุตรของนางสุชาดาก็สำเร็จโสดาบันครั้งแรกที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า  และเมื่อฟังครั้งที่สองก็บรรลุพระอรหัตผล
พระสีวลีและพระทิพพมัคลบุตรเถระ  ได้รับการสอนพระกรรมฐานเบื้องต้นจากพระอุปัชฌาย์  ได้แก่  เกสา (ผม)  โลมา (ขน)  นขา (เล็บ)  ทันตา (ฟัน)  ตโจ (หนัง)  ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งาม  เป็นของสกปรก  ไม่ควรยึดติดหลงใหล  ขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผมครั้งแรก  ได้บรรลุโสดาบัน  จรดมีดโกนครั้งที่สอง  ได้บรรลุสกิทาคามี  จรดมีดโกนครั้งที่สาม  ได้บรรลุอนาคามี  และเมื่อโกนผมเสร็จ  ได้บรรลุพระอรหันต์
นางปฏาจารา  สามีของนางถูกงูกัดตาย  ซ้ำร้ายเห็นลูกทั้งสองต้องมาตายต่อหน้าต่อตา  โดยช่วยอะไรไม่ได้เลย  จึงกลับมาหาพ่อแม่  ก็มาเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัด  ด้วยบ้านถูกไฟไหม้ทำให้พ่อแม่และพี่ชายต้องมาตายอีก
นางเดินไปบ่นไป  เหมือนคนเป็นบ้า  จนได้มายืนเกาะเสาศาลาโรงธรรมอยู่ท้ายสุด  คนทั้งหลายพากันขับไล่นางให้ออกไป  แต่พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้แล้วตรัสกับนางว่า จงกลับได้สติเถิดน้องหญิง
ด้วยพุทธานุภาพนางกลับได้สติในขณะนั้นเอง  มองดูตัวเองเปลือยกายอยู่  รู้สึกอายจึงนั่งลง  อุบาสกคนหนึ่งโยนผ้าให้นางนุ่งห่ม  นางเข้าไปกราบพระศาสดาที่พระบาท  แล้วกราบทูลเคราะห์กรรมของนางให้ทรงทราบโดยลำดับ  พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสถามว่า
แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศกครอบงำ ปฏาจารา  เพราะเหตุไร  เธอจึงประมาทอยู่
ปฏาจารา  ฟังพระดำรัสนี้แล้วก็คลายความเศร้าโศกลง  พระบรมศาสดาทรงทราบว่านางหายจากความเศร้าโศกแล้ว  จึงตรัสต่อไปว่า
ปฏาจารา  ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก  ไม่อาจเป็นที่พึ่ง  เป็นที่ต้านทาน หรือเป็นที่ป้องกันแก่ผู้ไปสู่ปรโลกได้  บุตรเหล่านั้น  ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี  ส่วนผู้รู้ทั้งหลายรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว  ควรชำระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น
เมื่อจบพระธรรมเทศนา  นางปฏาจาราดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล  เป็นพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันแล้ว  กราบทูลขออุปสมบท  พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชเป็นพระภิกษุณี  ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตผล
อนุปุพพิกถา  ซึ่งเป็นคำสอนที่แสดงไปตามลำดับไม่ข้ามขั้นตอน
๑.   ทานกถา    พรรณนาการบริจาคทาน  ทานเป็นเบื้องต้นแห่งการขัดเกลากิเลสคือความตระหนี่  การให้ทานแก่คนขัดสน  การเสียสละเป็นเหตุแห่งความสุขทั้งหลาย  เป็นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งหลาย  ทานย่อมให้สวรรค์สมบัติ  พรหมสมบัติ  จักรพรรดิ์สมบัติ  สาวกบารมีญาณ  ปัจเจกโพธิญาณ  อภิสัมโพธิญาณ  ทานจึงเปรียบดุจแผ่นดินใหญ่
๒.  สีลกถา       พรรณนาเรื่องศีล  การสำรวมรักษากายวาจาให้เรียบร้อย  ศีลย่อมให้สมบัติในโลกนี้และโลกหน้า  ผู้มีศีลย่อมมีกลิ่นหอมฟุ้งทั้งตามลมและทวนลม 
๓.  สัคคกถา    พรรณนาสวรรค์ที่บุคคลจะพึงได้ในกาลภายหน้าด้วยอำนาจ ของทานและศีล  ย่อมได้สวรรค์
๔.  กามาทีนวกถา     พรรณนาโทษแห่งกาม  และเรื่องกามเป็นของต่ำทราม  เศร้าหมอง  มีสุขน้อย  มีทุกข์มาก  มีความคับแค้นมาก 
๕.  เนกขัมมานิสังสกถา     พรรณนาเรื่องอานิสงส์ในการออกไปจากกาม  คือการออกบวชเพื่อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่สิ้นทุกข์  ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในโลกนี้และโลกหน้า