วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทที่ ๔ เรื่องของทานและอานิสงส์

เพิ่มคำอธิบายภาพ
http://www.deviantart.com/ ...
ทาน
๑.   ความหมายของการให้ทาน
จุดมุ่งหมายเพื่อสละความตระหนี่เพื่อกำจัดความโลภ  การให้ทานจะโดยวัตถุสิ่งของ  โดยการให้ธรรมะ  หรือแม้แต่การให้อภัยแก่ผู้อื่น  ไม่ผูกพยาบาท  อันเป็นจุดเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรม  อย่าได้ปฏิเสธทานแม้แต่น้อยนิดแต่ให้ผลอันยิ่งใหญ่  เปรียบการปลูกผลไม้  เราใช้เมล็ดเพียงเม็ดเดียว  ก็สามารถปลูกให้ต้นไม้ใหญ่โตได้และให้ผลผลิตมากน้อยก็ขึ้นอยู่ที่พื้นดินว่าเป็นเนื้อนาบุญเพียงใด  ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาปก็ย่อมให้ผลเป็นทวีคูณเสมอ  เช่น 
-บุคคลให้ทานในสัตว์ดิรัจฉานพึงหวังผลทักขิณา (ทานเพื่อผลอันเจริญ)  ได้ ๑๐๐ เท่า 
-ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีลได้ ๑,๐๐๐ เท่า 
-ให้ทานในปุถุชนผู้ทรงศีลพึงหวังผลได้แสนเท่า 
-ให้ทานในปุถุชนภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกามพึงหวังผลได้แสนโกฏิเท่า (ปุถุชนภายนอก คือ นักพรต ดาบส ฤๅษี บุคคลที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา) 
-ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติผลพึงหวังผลนับมิได้  ป่วยการจะกล่าวไปใยในพระโสดาบันและที่สูงๆขึ้นไป (ทักขิณาวิภังคสูตร ๗-๗๒)
สังฆทาน ๗ แบบ
ดูก่อนอานนท์ก็ทักษิณาทานที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่างคือ
๑.ให้ทานในสงฆ์สองฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
๒.  ให้ทานในสงฆ์สองฝ่ายเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
๓.  ให้ทานในภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว( ปัจจุบันยังมีอยู่ )
๔.  ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
๕.  เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้เป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน ( ปัจจุบันยังมีอยู่ )
 ๖.  เผดียงสงฆ์ว่า  ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน ( ปัจจุบันไม่มีแล้ว )
 ๗.  เผดียงว่าขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์ แล้วให้ทาน ( ปัจจุบันไม่มีแล้ว ) 
ผู้ใดได้ถวายทานแก่พระที่ออกจากการเข้านิโรธสมาบัติจะให้ผลทันตาในปัจจุบัน  จนเป็นเหตุให้มีการโฆษณาหลอกลวงกันว่าที่วัดนั้นวันนั้นเวลานั้นจะมีพระชื่อนั้นออกจากนิโรธสมาบัติให้ชาวบ้านไปร่วมทำบุญใส่บาตรกัน  ผู้ไม่รู้ก็แห่กันไป  คิดว่าถ้าได้ทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติในวันนั้น  อธิษฐานสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น  และให้ผลทันตาในชาตินั้นถ้าเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ  แต่ความจริงพระที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ต้องเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์เท่านั้นและยังต้องสำเร็จอรูปฌานขั้นสูงสุดคือ  เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จิตขณะแรกเกิดเป็นผลจิตมีพระนิพพานเป็นอารมณ์  และล่วงเสียเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วจึงออกจากนิโรธ
การอยู่นิโรธสมาบัติก็ใช้เวลาถึง ๗วัน  เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติแล้วผู้ที่ทำทานใส่บาตรคนแรกและคนเดียวเท่านั้นจึงจะมีผล  ครั้งนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรในอนาคตกาล  ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์  อันจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น  ได้กล่าวมาเป็นอันดับ  เริ่มจาก  พระศรีอาริยเมตไตรยเป็นปฐมที่ ๑  แล้วจึงพระรามเจ้าที่ ๒  รองมาพระยาปัสเสนทิโกศลที่ ๓   พระยามาราธิราชที่ ๔  พระยาอสุรินทราหูที่ ๕  พระโสนะที่ ๖  พระสุภะที่ ๗  โตไทยะพราหมณ์ที่ ๘  พระยาช้างนาฬาคีรีหัตถีที่ ๙  พระยาช้างป่าเลไลยก์หัตถีที่ ๑๐   ครั้งนี้จะกล่าวถึงเรื่องของพระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์ได้ก่อสร้างบารมี ๑๐ ประการ  มีทานและศีลเป็นอาทิมามากแล้ว  จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานแห่งพระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์(พระยามาร)  เป็นใจความว่า  ครั้งพระพุทธศาสดาพระพุทธกัสสปทศพลญาณเจ้านั้น  พระยามาราธิราชองค์นี้ได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีใหญ่แห่งสมเด็จพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช  มีนามว่า  โพธิอำมาตย์  อยู่มาวันหนึ่งองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าเข้าสู่ผลสมาบัติ  ถึงกำหนดเวลาแล้วออกจากผลสมาบัติในที่ภายใต้ต้นไทรใหญ่  พระเจ้ากิงกิสสะราชทรงพระจินตนาแล้วว่า  ถ้าแม้นบุคคลใดได้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าแล้ว  จะบังเกิดอานิสงค์หาที่สุดมิได้  จึงสั่งราชบุรุษทั้งหลายให้ตีกลองร้องป่าวชาวเมืองว่า  ถ้าผู้ใดถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราจะให้ลงพระราชอาญาบุคคลนั้น  แล้วให้ราชบุรุษล้อมพระเชตวันมหาวิหารโดยรอบ  ฝ่ายโพธิอำมาตย์เสนาบดีทราบเหตุนั้นแล้ว  ก็ปรารถนาจะถวายทานแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบ้าง  โดยมิเกรงกลัวพระราชอาญาเลย  จึงไปบอกบุตรภรรยาให้รู้และช่วยนำอาหารเครื่องไทยทานเป็นห่อใหญ่และผ้าหนึ่งผืน  ฝ่ายภรรยาได้ฟังสามีบอกดังนั้น  ก็มีศรัทธารับวาจาสาธุ  ครั้นรุ่งเช้านางก็จัดแจงแต่งเครื่องไทยทานทั้ง ๒ สิ่งนั้นให้แก่สามี  พร้อมเครื่องไทยทานอีกส่วนหนึ่งของตนฝากสามีให้ไปถวายด้วย  เมื่อมหาเสนาบดีไปถึงยังพระวิหาร  พวกราชบุรุษที่แวดล้อมอยู่เห็นเข้า  จึงตรงเข้าไปถามมหาเสนาบดีว่าท่านมาด้วยเหตุอันใด  ฝ่ายมหาเสนาบดีได้ฟังก็คิดว่า  ถ้าเราจะบอกบุรุษเหล่านั้นด้วยคำเท็จว่า  พระราชาใช้ให้เรามาอาราธนาองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าไปยังพระราชนิเวศน์ก็ได้  แต่ไม่ควรที่เราจะมุสา  ในเมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว  ซึ่งการที่เราจะกล่าวมุสานั้น  ทานของเราจะไม่ส่งผลเลย  จึงบอกความจริงแก่ราชบุรุษไปว่า  เราจะไปถวายทานแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า  เมื่อราชบุรุษได้ฟังคำของมหาเสนาบดีแล้วก็มีความโกรธจึงกรูกันเข้าจับตัวมหาเสนาบดีแล้วรีบนำตัวไปถวายพระราชา  ครั้นพระราชาได้ทราบความแล้วก็ทรงพิโรธที่ผู้รู้ทำเสียเอง จึงมีรับสั่งให้เพชฌฆาตเอาตัวไปตัดศีรษะเสียในทันใด
ขณะที่เพชฌฆาตได้พาโพธิอำมาตย์มหาเสนาบดีไปที่ป่าช้าเพื่อจะทำการตัดศีรษะนั้น  องค์สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์ด้วยญาณทิพย์แล้ว  ทรงดำริว่ามหาเสนาบดีนี้เป็นหน่อบรมโพธิสัตว์เสมอวงศ์แห่งพระตถาคต  มีอภินิหารเหตุแต่ก่อนจะกระทำกาลกิริยาตายเสียในวันนี้  จึงเนรมิตเป็นพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่ในพระวิหาร  ส่วนพระองค์ได้หายตัวเสด็จไปอยู่ที่ป่าช้านั้น  พร้อมกับบังตาเพชฌฆาตไว้ให้เห็นพระองค์เหมือนกับเหล่าราชบุตรทั้งหลายที่มานั่งอยู่นั้น  เว้นแต่มหาเสนาบดีผู้เดียวที่เห็นพระองค์  จึงตรัสว่า  ดูกรมหาเสนาบดีผู้เจริญ  ท่านจงสละชีวิตของท่านเสียเถิด  อย่าได้อาลัยในชีวิตนี้เลย  อันว่าปัจจัยทานของท่านมีประการใด  ท่านจงให้ทานยังจิตที่เลื่อมใสในพระตถาคตเถิด  อันเครื่องปัจจัยทานของมหาเสนาบดีนั้น  ราชบุรุษได้เอามาวางตรงหน้าแล้ว  ด้วยพระพุทธานุภาพ  เมื่อมหาเสนาบดีได้สดับฟังพระพุทธดำรัสดั้งนั้น  จึงบังเกิดมีจิตโสมนัสหาที่เปรียบมิได้  ก็ถือเอาเครื่องปัจจัยไทยทานทั้งของท่านและของภรรยา ถวายแก่สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์โลกทั้งหลาย  อันชีวิตนี้ข้าพระบาทเสียสละแล้ว  ด้วยพระเดชะผลทานของข้าพระพุทธเจ้าในกาลบัดนี้  ขอให้ได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเหมือนดังพระองค์ในอนาคตกาลโน้นเถิด  เมื่อโพธิอำมาตย์มหาเสนาบดีได้ตั้งปณิธานปรารถนาดังนั้น  องค์สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้าทรงพระอนุเคราะห์  ยื่นพระหัตถ์ไปลูบเหนือศีรษะท่านมหาเสนาบดี แล้วทรงพยากรณ์ว่าตัวท่านปรารถนาประการใด  ความปรารถนานั้นจงสำเร็จแก่ท่าน  ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น  ท่านจะได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง  ทรงพระนามว่า  พระธรรมสามี  ครั้นทรงพยากรณ์มหาเสนาบดีแล้วก็เสด็จกลับ  ฝ่ายเพชฌฆาตตัดศีรษะของมหาเสนาบดีขาดกระเด็นไปจนถึงกับความตาย  แล้วมหาปฐพีอันใหญ่ก็หวั่นไหวเกิดโกลาหลเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก  อันเป็นเหตุให้เศวตฉัตรของพระเจ้ากิงกิสสะราชหักลงจนพระองค์สะดุ้งสั่นไหว  และในขณะนั้นเองทิพย์วิมานทองอันประกอบไปด้วยนางเทพอัปสรประมาณพันนางได้บังเกิดขึ้นในป่าช้าตรงที่ท่านมหาเสนาบดีได้เสียชีวิตลงพร้อมกับขุมทอง ๑๖ ขุม  และไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง  อันว่าบุตรภรรยาของท่านมหาเสนาบดีได้อาศัยอยู่ในวิมานทองนั้นเลี้ยงชีวิตสืบมาถึง ๕๐๐ ปี  ฝ่ายโพธิอำมาตย์มหาเสนาบดีก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตสวรรค์  เสวยทิพย์สมบัติด้วยผลทานนั้น  ครั้งเมื่อศาสนาของพระยามาราธิราชบังเกิดขึ้น  มหาชนทั้งหลายจักได้บริโภคข้าวสาลีเป็นนิจกาลด้วยอนุภาพแห่งผลทานด้วยข้าวสุกห่อหนึ่งที่มหาเสนาบดีได้ถวายแก่พระพุทธกัสสปในครั้งนั้น  พร้อมด้วยเศวตฉัตรสูง ๓ โยชน์ด้วยผลทานถวายผ้าผืนหนึ่ง
ดังนั้น  การที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานอันเป็นความปรารถนาสูงสุดของชาวพุทธทั้งหลายนั้นก็เริ่มจากทานเป็นเบื้องต้น  ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐  ก็เริ่มจากทานก่อน
เรื่องราวของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันซึ่งจะมีในลำดับต่อไปให้เกี่ยวด้วยเรื่องของศีล  แต่ที่ยกเรื่องของพระธรรมสามีมานั้นก็เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์อีก  ซึ่งจะมีอยู่ในเรื่องสัคคกถาสวรรค์ชั้นที่ ๖   เพื่อให้สอดคล้องกัน  และให้มีความเข้าใจถูกต้อง  แม้ทานที่ให้จะมีน้อยหรือมาก  ดีหรือไม่ดี  เมื่อเหตุสักแต่ว่า  จิตเลื่อมใสแล้ว  ย่อมมีผลหาที่เปรียบมิได้  ดังเรื่องของชายเข็ญใจผู้หนึ่ง
กุรุเทวะ  ได้เที่ยวขออาหารกับภิกษุทั้งหลายเสมอ  เลี้ยงชีวิตด้วยอาหารที่ได้มาอย่างยากและได้อย่างเล็กน้อย  เป็นคนอนาถา กำพร้า  ขัดสนไม่มีญาติ  ไม่มีเพื่อน  ตัวคนเดียวแท้ๆ  อาศัยนอนที่ริมเสาของศาลาหรือโคนต้นไม้ในวิหารนั้น  ผ่านไปวันหนึ่งๆ  การงานอะไร เช่น  ปัดกวาดเป็นต้น  เขาไม่ทำเลย  อยู่อย่างนี้ไปหลายปี  ต่อมาภายหลังพระสังฆเถระที่อยู่ในวิหารนั้น  เที่ยวจาริกไปในวิหาร  เห็นกุรุเทวะกินอิ่มแล้วนอนที่โคนต้นไม้  จึงตรวจดูด้วยทิพยจักษุว่าสัตว์จุติจากอัตภาพนี้แล้วจะเกิดที่ไหนหนอ  ก็เห็นว่าล่วง ๗ วันไปแล้วเขาจุติแล้วจักเกิดในนรก  จึงเรียกเขามาเพื่อให้โอวาทว่า พ่อแม่  ญาติพี่น้องของเจ้าไม่มี เจ้าไม่มีเงินทองไม่มีโชคลาภเป็นคนขัดสน  เจ้ามีเครื่องนุ่งห่มขาดวิ่น  มีเลือดไร  ประกอบด้วยภัย  มีผ้าเลวๆ  เจ้าไม่ได้นอนแม้เสื่อ  ไม่มีอะไรดีกว่านอนบนพื้นดิน  เจ้าถือกะลาขอทานเที่ยวไปในเรือนนั้นๆ  เป็นคนกินเดน(ของที่คนอื่นกินหลือ)เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนเปรต  เมื่อเห็นคนมีบุญเขากินข้าวน้ำอร่อย  เจ้าก็ได้แต่น้ำลายไหล  เมื่อไม่ได้อะไรในที่นั้นก็ได้แต่ถอนหายใจร้องไห้หมดหวัง  แม้เจ้าขืนเป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์  เพื่อเป็นปัจจัยในภายหน้า  คนที่จะเสมอเหมือนเจ้าไม่มีแล้ว  เจ้าเป็นศัตรูแก่ตัวเองในภพทั้งสาม  เนื่องจากเจ้าไม่ได้ทำบุญไว้ในภพก่อนดังนี้
กุรุเทวะฟังคำนั้นแล้ว  จึงกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์  เป็นคนกำพร้า  อนาถา  จะทำกุศลอย่างไร  ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ  ข้าพเจ้าขอถามพระคุณเจ้าโปรดบอกทางที่ข้าพเจ้าจะไปสู่ความดับสนิทดังนี้
พระเถระกล่าวว่า  ในแม่น้ำนี้มีปลามากหลายมีทั้งปลากา  ปลากระบอก  ปลาดุก  กุ้ง  ปลาตะเพียน เป็นต้น  เจ้าเอาข้าวที่ขอเขามา  เหลือจากที่เจ้ากินแล้วให้ทานแก่ปลาทั้งหลาย  การให้ทานนั้นนำมาซึ่งสวรรค์และความสุขแก่เจ้า
จงถือศีล ๕ ให้ปราศจากมลทิน  ศีลที่เจ้ารักษานั้นเป็นการเพียงพอเพื่อภพและโภคสมบัติและเพื่อนิพพานดังนี้
กุรุเทวะเมื่อฟังคำเถระแล้วมีจิตเลื่อมใสนมัสการพระเถระแล้วรับศีล ๕ ตั้งแต่นั้นมา  เมื่อบริโภคแล้วเอาก้อนข้าวที่เหลือให้ปลาทั้งหลาย  เขาทำบุญกรรมเพียงเท่านี้ล่วงไปได้ ๗ วัน  จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว  เกิดในเรือนกุฎุมพีมีโภคสมบัติมากคนหนึ่ง  ต่อมาได้ไปอยู่กับพระราชา  รักษาศีล   อยู่ตลอดชีวิต  บังเกิดในเทวโลกเมื่อสิ้นสุดอายุ
       กุรุเทวะสมาทานศีล  ถวายทานเล็กน้อยในอดีตแก่ผู้รับซึ่งเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน  เขาได้รับโภคะอันไพบูลย์อย่างนี้ในโลกนี้  และได้เข้าถึงสวรรค์แล้วดังนี้
            ไทยธรรมแม้น้อยในเวลาให้  ย่อมมีผลมากในเวลาให้ผล  เหมือนต้นไทรใหญ่เกิดจากเมล็ดเล็กๆ  ต้นไทรจะไปบังท้องฟ้าเหมือนเมฆก้อนใหญ่  เช่นเดียวกับพืชที่รู้กันว่าเป็นกุศล  แม้มีประมาณน้อย  เมื่อหว่านลงในพื้นแผ่นดินแห่งพุทธบุตรผู้มีศีลผู้นั้นย่อมได้ทิพยสมบัติในหมู่เทวดา  และความสุขในหมู่มนุษย์ในที่สุดได้นิพพานสมบัติอันหาอุปมามิได้  ดังนี้
            เมื่อ เดือนธันวาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘ มีเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก  โดยเกิดธรณีพิบัติคลื่นสึนามิถล่มภาคใต้หลายจังหวัดของไทย  จนเกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน  ได้มีหน่วยงานต่างๆให้ความช่วยเหลืออย่างมากมาย  แต่ก็ยังให้ความช่วยเหลือได้ไม่ทั่วถึง  มีหน่วยงานของรัฐจะจัดงานร่วมบริจาคทรัพย์และเครื่องอุปโภคบริโภค  เพื่อช่วยผู้ประสบภัย  แต่นายกในสมัยนั้น ได้สั่งการให้ระงับจัดงานในครั้งนี้  ด้วยเจตนาดีที่ไม่ต้องการให้ประชาชนทั่วไปต้องสิ้นเปลืองเงินทอง  เนื่องจากยังมีเงินคงคลังที่จะให้ความช่วยเหลือได้
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในครั้งนี้  และก็ไม่มีใครทักท้วงหรือเตือนท่าน  จึงเป็นเหตุไปขัดบุญของมหาชนทั้งหลาย  อันไปเสริมวิบากเก่าให้เร็วขึ้น  จนในที่สุดต้องยุบสภา
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้  ผลของวิบากกรรมนั้นจะส่งผลเมื่อไหร่  ไม่อาจจะคาดเดาได้  มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง  ไม่ว่าผลบุญหรือผลบาป  จะส่งผลในชาตินี้หรือข้ามภพชาติ  หรือส่งผลถึง 500 ชาติก็มี ( พระโมคคัลลานะ ถูกทุบตี ๕๐๐ ชาติ )
เมื่อช่วงต้นตุลาคม ๒๕๔๙ เกิดอุทกภัยน้ำท่วม  ดินถล่มหลายจังหวัด  ทางภาคเหนือไล่ลงมาจนถึงภาคกลาง  เกิดน้ำท่วมขัง  บางแห่งเป็นเดือน  บางแห่งออกไม่ได้ต้องรอความช่วยเหลือ  หน่วยงานราชการและเอกชนมากมายได้ระดมปัจจัยและเครื่องอุปโภคบริโภค  เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับภัยน้ำท่วมในครั้งนี้  อันเป็นจุดเริ่มต้นของบุญโดยการให้ทานซึ่งมีผลมาก  (และอุทกภัยเมื่อปี ๒๕๕๔ ด้วย )เนื่องจากทานในครั้งนี้ได้กระทำแก่คนจำนวนมาก  และกำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างหนัก ทานในครั้งนี้นับว่ายิ่งใหญ่มีผลมาก  ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละบุคคล ผลย่อมไม่เท่ากัน  ในเวลานั้นได้เห็นคนที่มีทั้งจิตมารและจิตโพธิสัตว์มากมาย แม้ทานในครั้งนี้จะให้ผลมากแต่ก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่ามหาทาน  ผู้สร้างเจดีย์ทองสูงเทียมฟ้า  ก็ยังไม่จัดว่าเป็นมหาทานเช่นกัน  ผู้ใดรู้และได้ทำมหาทานแล้ว  เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติสวรรค์เป็นเชื้อสายแห่งอริยะ  ผู้มีปัญญาย่อมค้นพบเองในบทความของบล็อกนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรประมาท
มีหลายวัดได้จัดเครื่องสังฆทานให้แก่พุทธศาสนิกชนเพื่อความสะดวกในการทำบุญ บางวัดมีหลายจุดแล้วแต่สะดวก พระบางรูปก็ให้กล่าวคำถวายสังฆทานเลย บางรูปก็ให้สมาทานศีลก่อน คนที่จะไปทำบุญก็ต้องเช็คดูด้วยนะครับ เพราะอานิสงส์ต่างกัน