วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทที่ ๑ ทำไมไปไม่ถึงนิพพาน

นิพพานอยู่ที่ไหน
เพิ่มคำอธิบายภาพ
http://www.deviantart.com/ ...
นิพพาน แดนนิพพาน มีจริงหรือไม่เป็นสถานที่เช่นไร มีแต่ความว่างเปล่าเป็นสูญหรือเป็นอีกภพภูมิหนึ่ง อ่านบทความไปถึงตอนท้ายจะมีคำตอบให้พิจารณา 
แต่ก่อนจะอ่านบทความก็มารู้จักผู้เขียนก่อนสักนิดนะครับพานมีจริงหรือ  แนะนำวิธีปิดประตูน
  การที่จะเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องธรรมะให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็นการคัดลอกจากพระไตรปิฎกบ้างและจากครูบาอาจารย์หลายๆท่าน นำมาเผยแพร่อีกที หรือเป็นนิยายที่อิงธรรมะ สิ่งที่ผมรู้เห็นและปฏิบัติได้จริงก็น่าจะเป็นอะไรที่พอจะช่วยผู้อื่นได้บ้าง  บทความที่ผมจะเขียนนั้นอาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจผู้อ่านบ้างก็ต้องขออภัย  เพราะจะให้ใครมาชอบใจในสิ่งที่เราทำทุกคนก็เป็นไปไม่ได้  จะมาอ้างพระไตรปิฎกทั้งหมดก็คงไม่ใช่  เพราะพระไตรปิฎกได้ทำการสังคายนามาหลายครั้ง  ย่อมจะมีการผิดเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง   ยิ่งครั้งหลังๆพระเถรที่ร่วมสังคายนาได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมดหรือไม่   ถ้าไม่พระไตรปิฎกก็ย่อมมีผิดพลาดได้
        การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกโดยพระอรหันต์ ๕๐๐รูป มีพระกัสสปเถระเป็นประธาน พระอานนท์ในขณะนั้นเป็นเพียงพระโสดาบันก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วย  เพราะท่านยังตัดกิเลสได้ไม่หมดอาจจะมีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและพวกพ้องได้ เหตุที่พระอานนท์เป็นพระหูสูตการสังคายนาครั้งนี้จะขาดท่านก็ไม่ได้   ก่อนวันที่จะเริ่มสังคายนาพระธรรมวินัยนั้นหนึ่งวัน  พระอานนท์ได้เร่งความเพียรอย่างหนัก เดินจงกรมจนใกล้รุ่ง แล้วเข้าไปที่พำนักเพื่อพักผ่อน  ขณะที่เอนกายลงศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน เท้าทั้งสองเพียงพ้นจากพื้น ขณะนั้นจิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยอภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔  พอรุ่งเช้าพระอานนท์ได้แสดงฤทธิ์ผุดจากพื้นดินในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์
         เราก็ไม่ควรจะยึดถือตำรามากเกินไปอย่างพระใบลานเปล่าที่มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด พระพุทธองค์ประสงค์จะละทิฐิพระใบลานเปล่าจึงให้ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์เณรที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อพระใบลานเปล่าละทิฐิลงได้แล้วไม่ช้านานก็สำเร็จพระอรหันต์   ปัจจุบันมีพระที่เรียนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ยังลาสิกขามาใช้ชีวิตอย่างฆราวาสก็มีให้เห็นอยู่ นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าคนที่รู้พระไตรปิฎกอย่างแตกฉานใช่ว่าจะเชื่อคำพูดของเขาได้ทั้งหมด  ความรู้ที่ผมจะมาบอกต่อผู้ที่สนใจในการปฏิบัติหรือคนที่ยังไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนว่าจะปฏิบัติอย่างไรหรือปฏิบัติมามากแล้วยังไม่ได้อะไรมากนัก  ก็ลองอ่านบทความที่ผมกำลังจะเขียนบอกต่อไปอาจจะเป็นทางออกที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็ได้ การที่จะเขียนบทความธรรมให้ผู้อื่นยอมรับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะผู้อ่านผู้ศึกษาธรรมก็ยังไม่รู้จักผู้เขียนเลยว่าเป็นใครมาจากไหน  แต่ก็อย่าพึ่งปฏิเสธอะไรจนกว่าจะได้อ่านข้อความไปแล้วบ้าง คืออย่าดูหนังสือเฉพาะปก ข้างในอาจจะมีอะไรดีๆให้ค้นหาก็ได้นะครับ  ก็คงให้ข้อมูลพอที่ผู้อ่านจะได้รู้จักผู้เขียนบ้าง
             ผมเกิดที่อ.แก่งคอย จ.สระบุรี บ้านอยู่ในตลาดซึ่งอยู่ห่างจากประตูวัดประมาณ ๑๐๐ เมตร ด้วยเหตุนี้ก็มีโอกาสเข้าวัดบ่อย ส่วนใหญ่ก็จะไปทำบุญกับแม่หรือไม่ก็พี่ๆน้องๆ แต่การได้ทำบุญก็สักแต่ว่าทำตามเขา รู้ว่าทำบุญไว้ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าทำชั่วทำไม่ดีจะตกนรก  ก็จะรู้เท่านี้เพราะที่วัดไม่มีพระที่มีภูมิธรรมปัญญาในการเทศนาสั่งสอนเท่าไหร่  ถึงแม้เวลาวันพระใหญ่จะมีพระขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรม ส่วนใหญ่ก็จะอ่านตามคัมภีร์ใบลาน (คัมภีร์ใบลานบางทีก็รจนาแต่งขึ้นมาจากพระมหาเปรียญ ข้อความในในคัมภีร์อาจจะมีผิดบ้างตามภูมิธรรมของแต่ละท่าน ซึ่งอาจจะนำตัวอย่างมาเล่าให้ฟังภายหลัง) วัดที่บ้านสมัยนั้นในช่วงกลางคืนจะมีหนังกลางแปลงหรือหนังขายยามาฉายบ่อยๆ บางทีก็งานวัดหรือวงดนตรีลูกทุ่งกั้นรั้วเก็บเงิน  ผมก็เป็นขาประจำคนหนึ่งเพราะบ้านใกล้วัด  ดูเสร็จก็กลับไม่มีอะไร
         อยู่มาวันหนึ่งก็มีหนังกลางแปลงมาฉายอีก  ผมก็ไปดูเหมือนเดิมนั่นแหละ พอได้เวลาก็ต้องกลับบ้านตอนเช้าต้องไปโรงเรียน  ขณะที่ผมเดินออกนอกเขตวัดตอนนั้นก็ดึกพอสมควรร้านค้าในตลาดก็ปิดประตูเงียบไปหมด ด้านหลังก็มีเสียงหนังกลางแปลงดังอยู่  ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีแต่ความว่างเปล่า  ขณะนั้นมีความคิดแล่นเข้ามาในจิตว่า    ถ้าผมไม่ได้เกิดมามันจะเป็นยังไง จะมีความรู้สึกร้อนหนาวเย็นอบอุ่น มีความคิดความฝันอะไรต่างๆมากมาย  ทำไมจะต้องเกิดมา ไม่เกิดไม่ได้หรือ จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไร  ไม่มีคำตอบอะไรและไม่รู้จะไปถามใคร พระที่บ้านก็คงให้คำตอบอะไรไม่ได้   เวลานั้นตัวผมเองก็ไม่ได้เดือดร้อนมีความทุกข์อะไร ทางบ้านก็ไม่ลำบาก ตอนนั้นผมอายุประมาณ 15ปียังไม่มีความรักเลย แต่ความคิดนั้นมันเกิดขึ้นเอง  ทำบุญมากๆจะได้ขึ้นสวรรค์ การจะปฏิบัติตัวปฏิบัติตนเพื่อให้ได้อริยะหรือพระอรหันต์แล้วจะไม่ต้องมาเกิดอีก  มันเป็นเรื่องของพระเขาไม่ใช่เราจะไปปฏิบัติ เป็นพระก็ต้องอยู่ในระเบียบวินัย เราตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์ก็ดีแล้ว  ส่วนการทำผิดศีลก็มีบ้างฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็มียิงจิ้งจกเอามาให้ปลากิน  ก็ทำตามเพื่อนเขาเราก็อวดว่ามีฝีมือเหมือนกัน ใช้ก้านไม้กวาดทางมะพร้าวเอามาหนึ่งอันผูกกับหนังยางมายิงจิ้งจกที่อยู่ตามไม้หมอนรถไฟ  ที่เขาเอามาทำเป็นรั้วบ้านของเจ้าหน้าที่รถไฟ บางอย่างทำเพราะคิดว่าไม่ผิดในตำราไม่มี   แต่ตอนหลังมาศึกษาเพิ่มจึงรู้ว่าผิด เพราะมันเป็นความละเอียดที่น้อยคนจะรู้  ซึ่งผมจะบอกรายละเอียดอีกครั้งในบทความที่ผมจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องศีล ๕ ก็ลองติดตามอ่านดูนะครับ
        พอผมเรียนอยู่ ม.ปลาย ความรักก็เกิดขึ้น กับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ผู้ใหญ่ของเรารับรู้ แม่ของผมบอกให้รอบวชก่อนแล้วจะจัดการให้  ตอนนั้นเรียนอยู่ ม.รามฯเทอมแรก ได้๒๒ หน่วยกิต  เทอม ๒ ลงเรียนไว้แต่ไม่ได้ไปสอบ ก็กลับมาอยู่บ้าน คิดจะทำการค้าอยู่ที่บ้าน เพราะบ้านอยู่ในตลาดทำเลก็ดีด้วย โดยขอฝึกวิชาความรู้จากพ่อ ฝึกได้ไม่นานท่านก็มาเสียซะก่อน เลยไม่ได้วิชาจากท่านเลย    ตอนนั้นก็เตรียมตัวจะบวชอยู่แล้ว    พอพ่อมาเสียซะก่อนเลยต้องรอไปอีก ๑ปี ถึงจะได้บวช
      วันหนึ่งมีเพื่อนมาบอกว่าแฟนผมจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว  และบอกว่าไม่ให้ผมไปงานแต่งเขา เพราะเขาจะทำใจไม่ได้ เขามีเหตุผลของเขาแต่ผมก็เข้าใจ  หลังจากที่อกหักแล้วก็นอนไม่ค่อยหลับคิดมากสารพัดคิด    เมื่อก่อนเคยอ่านหนังสือพิมพ์เจอคนที่ผิดหวังในความรักแล้วคิดจะฆ่าตัวตาย  ผมคิดว่าคนพวกนี้ทำไมถึงโง่ขนาดนี้นะ  พอมาเจอกับตัวเองเราก็โง่เหมือนเขาเช่นกัน  ทำยังไงดีรักและคิดถึงเขามาก  ข่มตานอนยังไงก็นอนไม่หลับ  แต่ก็ยังโชคดีเพราะก่อนหน้านั้นแม่ให้บวชเรียนก่อน  ลาสิกขามาแล้วจะแต่งงานให้  ตั้งใจจะบวชแค่เดือนเดียวแต่แม่บอกว่ายังไม่มีฤกษ์สึก ผมก็ไม่เชื่อแม่เลยพาไปหาพระให้ช่วยตรวจดวงและดูฤกษ์สึกให้ แม่พาไปหลายวัด  ไปๆมาๆก็บวชไปได้ ๓ เดือนแล้วถึงได้สึก(ลาสิกขา)  ต่อไปก็คงจะได้แต่งงานกับคนที่เรารัก แต่ก็ผิดหวัง  ไม่มีใครรู้ว่าผมเศร้าเสียใจขนาดไหน เพราะผมเก็บความรู้สึกไม่ให้ใครรับรู้  แต่จะฟังเพลงไม่ได้เลยฟังทีไรน้ำตาจะไหลทันที ตอนที่บวชอยู่นั้นได้ เคยนั่งสมาธิมาบ้าง  ก็ภาวนา  พุทโธ  พุทโธ  พุทโธ ที่สุดก็นอนหลับได้
     
       แต่ความรักที่ถูกพันธนาการเอาไว้มันยังไม่สามารถตัดขาดได้ หน้าของคนรักยังคงลอยวนเวียนให้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา   เวลานั้นมีญาติฝากงานให้ที่กรุงเทพ ผมก็รีบเข้ามาทำงานในกรุงเทพเผื่อจะช่วยลืมอะไรได้บ้าง  ผมทำงานไปอย่างนั้นแบบเซ็งกะตาย  วันหนึ่งมีเพื่อนที่ทำงานเอาหนังสือสามภูมิมาให้อ่าน   หนังสือเล่มนี้มีชาวบ้านได้มาจากถ้ำในป่าเอามาให้นายตำรวจผู้หนึ่งผมจำชื่อท่านไม่ได้แล้ว ซึ่งเป็นนักเขียนในสมัยนั้น   พอท่านเรียบเรียงเนื้อหาเสร็จก็นำไปไว้บนหิ้งพระ  ปรากฏว่าหนังสือสมุดข่อยเล่มนั้นเปื่อยเป็นผงไปหมด  ผมมารู้ภายหลังว่า  หนังสือสามภูมิเล่มนี้ผู้เขียนเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค  ซึ่งต่อมาผมได้ไปที่ซอยสายลมและก็ได้ซื้อประวัติหลวงพ่อปานและกรรมฐาน ๔๐ ซึ่งประวัติของหลวงพ่อปานจะเหมือนกับหนังสือสามภูมิเลย
       เมื่ออ่านหนังสือพระกรรมฐาน ๔๐ ซึ่งมีบทอสุภกรรมฐาน ๑๐ ที่อ่านแล้วน่าจะมีประโยชน์กับเรามาก เพราะจะทำให้ปลงจากคนรักได้ ผมพยายามนึกคิดภาพผู้หญิงที่ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่นก็อาศัยดูคนเฒ่าคนแก่ จากนั้นก็ลอกหนังลอกเนื้อไปเรื่อยๆ....เวลาใดที่ภาพของคนรักผุดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะจินตนาการให้ร่างกายนั้นทรุดโทรมเน่าเปื่อยเหลือแต่กระดูก ที่สุดผมก็ตัดหญิงคนรักได้เด็ดขาด  แม้กระทั่งเวลาผมอยู่บนรถเมลเห็นผู้หญิงสวยๆไม่ได้เลย จะมีอาการอยากจะอาเจียนให้ได้ ต้องพยายามไม่คิดถึงอสุภอีก อาการอย่างนี้เกิดขึ้นนานเป็นเดือน ตัวผมเองในเวลานั้นยังไม่คิดจะออกบวชอยากจะมีเมียซะก่อนว่ามันจะเป็นยังไง และเริ่มปล่อยวางไม่นึกถึงอสุภกรรมฐานอีก
       ช่วงที่ทำงานอยู่นั้นก็ได้พบรักกับพนักงานในบริษัทเดียวกัน ความรักดูเหมือนจะไปกันได้ดีแต่ก็ต้องอกหักอีกครั้ง เมื่อเธอปฏิเสธด้วยคำที่ว่า   เธอดีเกินไป แต่คราวนี้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
       ชีวิตก็คงดำเนินต่อไปเปลี่ยนงานย้ายบริษัทจนได้แต่งงานกับพนักงานที่เดียวกัน ตอนนั้นอายุก็ ๒๙ ปีแล้ว ตอนบวชอยากจะสึกก็ไม่ได้สึก อยากจะมีเมียตอนอายุ 20 ต้นๆ หาไปหามาก็ อายุ ๒๙ แล้ว  ชีวิตคู่ใช่จะมีความสุขตลอดเวลา พอมีปัญหาการเงินขึ้นมา ครอบครัวก็ลำบาก ผมถูกภรรยากดดันหลายครั้งหลายหน
       ซึ่งเวลานั้นมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้ผมรู้จักคุณนายน้ำ แห่งบ้านสวนบางเขนคุณนายน้ำชวนผมเข้าทำบุญและปฏิบัติกับทางกลุ่มของคุณน้ำ  ขณะนั้นมีพระสายกรรมฐานถูกนิมนต์มาให้แสดงธรรมที่บ้านคุณน้ำในวันเสาร์และอาทิตย์ต้นเดือน ผมและเพื่อนจะเป็นคนช่วยดูแลพระและคนที่เข้ามาฟังธรรมด้วย ตอนหลังทั้งพระและคนก็เริ่มน้อยลง วันหนึ่งมีพระหน้าตาสดใสรูปหนึ่งถ้าทางจะมีเชื้อสายจีนได้เข้ามาสอนวิปัสสนา  คุณน้ำไปเจอพระรูปนี้ที่สถานธรรมแห่งหนึ่งเลยนิมนต์ให้มาสอนธรรมที่บ้าน ซึ่งคุณน้ำเองก็ยังไม่รู้จักท่านดีพอว่าท่านมีที่มาที่ไปยังไง ไหนๆท่านก็มาแล้วก็ลองไปฟังท่านดูหน่อย  ผมเป็นคนแรกที่ถูกท่านตำหนิเลยว่า ตกนรกคนเดียวไม่พอยังพาคนอื่นตกนรกด้วย ขณะนั้นผมรู้สึกไม่พอใจที่ท่านมาว่าผมอย่างนี้ คือท่านได้ยินผมคุยกับสหายธรรมด้วยกันและสิ่งที่ผมพูดผมก็จำมาจากพระที่ท่านมาสอนที่นี่บ้างจากหนังสือบ้าง แล้วท่านมาว่าผมได้ยังไง ไหนๆก็นั่งฟังท่านแล้วก็ลองนั่งฟังต่อไปดูซิว่าจะตำหนิอะไรผมอีก เวลาท่านสอนท่านก็จะพูดถึงแต่ มันไม่เที่ยง มันเกิดดับตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ และจะมีเนื้อหาเข้ามาสอดแทรกบ้าง ท่านจะพูดจะสอนตลอดทั้งชั่วโมงหรือสองชั่วโมงก็แล้วแต่จังหวะ บางคนที่เข้ามานั่งปฏิบัติจะไม่ชอบก็มี เพราะเขาต้องการความสงบในเวลานั่งเลยทำให้เขาไม่มาอีก ส่วนผมก็นั่งไปอย่างนั้นแหละบางทีก็นึกรำคาญเหมือนกัน สอนซ้ำๆอยู่นั้นไม่เห็นมีอะไรเลย ขยับตัวก็ไม่ได้ปวดแข้งปวดขาน่าดูเลย
    
         พระท่านจะมาสอนวันเสาร์กับอาทิตย์ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะไปไหนด้วย ก็เลยต้องทนฟังท่านสอนอยู่อย่างนั้น  เผอิญทางครอบครัวผมมีปัญหาทางด้านการเงินอยู่ด้วยในขณะนั้น ผมถูกกดดันจากภรรยาเป็นอย่างมาก ตอนนั้นก็ปรึกษาเพื่อนว่ามีใครจะซื้อไตบ้างมั้ย ผมจะขายข้างหนึ่งเพื่อจะเอาเงินก้อนนี้มาให้ภรรยาได้เป็นทุนทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำและจะได้เลิกกดดันผมสักที คุณน้ำเองก็ถามผมว่าจริงหรือผมก็บอกว่าใช่ เพราะผมคิดว่าขายไตไปข้างหนึ่งก็ยังเหลืออีกข้าง ชีวิตก็ยังอยู่ได้ยังไม่ถึงกับตาย  และผมคิดต่อไปว่าร่างกายก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้วจะมาหวงอะไร  แต่โชคดีที่ตอนนั้นเรื่องการเงินเริ่มดีขึ้นเลยไม่ต้องดิ้นรนติดต่อคนที่จะมาซื้อไต  และมันเป็นเรื่องผิดกฎหมายด้วย พระอาจารย์ท่านก็รู้  วันหนึ่งพระอาจารย์บอกว่าหน้าตาผมดูหม่นหมองไม่มีราศีเลย เดี๋ยวอาจารย์จะช่วยให้สว่างขึ้น ผมก็ตอบครับกับท่านไป วันรุ่งขึ้นท่านก็บอกให้ผมใช้น้ำสบู่ถูที่คิ้วทั้งสองข้างท่านจะโกนคิ้วให้  เอาละซีอยู่ดีๆท่านจะโกนคิ้วให้  เออ บวชก็ไม่ได้บวช ผมก็ไม่ได้โกนจะโกนแต่คิ้วอย่างเดียวซะงั้น  ขณะนั้นผมคิดว่า เอาโกนก็โกน ร่างกายก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้วจะไปอาลัยอาวรณ์กับมันทำไมเดี๋ยวก็ขึ้นใหม่แล้ว  แต่นึกๆไปใครเห็นเข้าคงจะอดขำไม่ได้ แม้แต่เด็กก็ยังมาล้อ ตอนนั้นก็ไม่สนใจอะไร คงนั่งฟังพระอาจารย์สอนไปเหมือนเดิม
          นั่งฟังพระอาจารย์สอนมาได้สองเดือนกว่าก็รู้สึกดีขึ้นบ้างอย่างน้อยก็ได้ความอดทน ถ้านั่งหนึ่งชั่วโมงก็พอไหวแต่สองชั่วโมงนี่ทรมานจริงๆเมื่อไหร่จะหมดเวลาสักทีเกร็งขาแล้วเกร็งอีกบางทีน้ำตาไหลยิ่งทรมานมากเช็ดก็ไม่ได้ คันแสนคัน มีอยู่วันหนึ่งขณะที่นั่งปฏิบัติไปได้หนึ่งชั่วโมงเริ่มเข้าชั่วโมงที่สอง  กำลังปวดขาอย่างมาก  ขณะนั้นความปวดมันวิ่งหายไปเหมือนมันมีตัว และความปวดก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง  เหมือนพึ่งจะเริ่มนั่งใหม่ๆ  อ้อ นี่หรือความปวดไม่เที่ยง ความเจ็บไม่เที่ยง มันเกิดดับตลอดเวลา
        ปกติทุกวันตอนกลางคืน ผมก็นั่งไหว้พระสวดมนต์และนั่งกรรมฐานทุกคืน  คืนนี้ก็เช่นกัน ขณะที่นั่งพิจารณาธรรมอยู่นั้น มีอยู่ตอนหนึ่งพิจารณาถึงสิ่งที่เรายึดเกาะอยู่ในเวลานี้คือวิชาทางไสยศาสตร์ที่เราให้ความสนใจและเป็นศิษย์ของอาจารย์ฆราวาสผู้หนึ่งหลายปีมาแล้ว  ผมคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยเปลี่ยนชีวิตให้ผมได้ดีขึ้น แต่มันทำให้ผมหลงยึดติดมากเกินไป  ถึงจะได้เรียนรู้และทำได้จริงก็ไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ที่แท้จริงได้ กับทำให้เรามีอัตตามากเกินแม้เวลานี้เราก็ยังไม่ได้หรือเห็นประโยชน์ของสิ่งนี้เลย  ถ้าตายไปในขณะนั้นก็ไม่พ้นทุกข์เพราะความยึดติด เหมือนดาบส ฤๅษีที่ยึดติดในรูปฌานทั้งหลาย ยังมองไม่เห็นสัจธรรมที่แท้จริง ร่างกายก็ไม่ใช่ของเราๆเพียงมาอาศัยเท่านั้น ภรรยาที่เรารักเขามากเขายังทำให้เราทุกข์ได้เลย เราไม่สามารถบังคับเขาได้ อะไรๆก็ไม่เที่ยง พิจารณาอยู่อย่างนี้สักพัก ก็ตัดตัวตนได้ไม่ยึดติดอีกต่อไป ลำดับนั้นก็นึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระองค์ท่านที่เสียสละบำเพ็ญเพียรนานนับเป็นหลายอสงไขปีจนบรรลุธรรมแล้ว  ไหนเลยเราจะเข้าถึงธรรมที่แท้จริงได้  พระองค์ท่านนับมีพระเมตตาอันยิ่งใหญ่หาใดเทียบได้  เราหมดความลังเลสงสัยในพระองค์ท่านและธรรมที่ท่านสอนแล้ว   ขณะนั้นจิตสงบนิ่ง โล่ง ว่าง ยิ่งกว่ายกภูเขาออกจากอกเสียอีก คืนนี้จิตรู้สึกปลอดโปร่งจริงๆ  จากนั้นก็ไม่ได้พิจารณาอะไรต่อ และแผ่ส่วนบุญไปตามปกติแล้วก็เข้านอน  ขณะที่ล้มตัวลงนอนหลับตาทุกอย่างก็ดูมืดมิดไปหมดก็เป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว แต่ขณะเวลานั้นความสว่างได้เกิดขึ้นเหมือนมีใครมาจุดพลุมากมายสว่างเต็มท้องฟ้าไปหมด สักพักความมืดก็กลับมาเหมือนเดิม ไม่ใช่ความฝันแน่นอนเพราะพึ่งจะล้มตัวลงนอน  ถ้าไม่ใช่ความฝันแล้วจะเป็นอะไรไปได้นอกจากนิมิต  คืนนั้นทำให้ผมนอนหลับอย่างมีความสุขมาก