วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทที่ ๙ มุสาวาท วันโกหกโลกและนับแกะ

มุสาวาทเว้นจากการพูดเท็จ  
ศีลข้อนี้บัญญัติขึ้น  เพื่อเป็นการป้องกันการทำลายประโยชน์ของกันและกันด้วยวาจา  คือ  เว้นจากการพูดเท็จ  เว้นจากการพูดส่อเสียด  เว้นจากการพูดคำหยาบ  เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ  ที่เรียกว่า  สัมมาวาจา
การพูดเท็จ  คือ  การโกหก  เจตนาบิดเบือนความจริงให้คนหลงเชื่อ
การพูดส่อเสียด  หมายถึง  การพูดยุยง  เพื่อให้เกิดการแตกแยก
การพูดคำหยาบ  มีหลายลักษณะ  เช่น  คำด่า  คำประชดเสียดแทง  คำแดกดันหรือเสียดสี  คำกระทบ
การพูดเพ้อเจ้อ  คือ  การพูดเหลวไหล  ไร้สาระ  พูดเล่น  สรวลเสเฮฮา 
มีการเดินขบวนต่อต้านฝ่ายที่ทำให้ตนเสียประโยชน์  มีการสร้างสถานการณ์ก่อม็อบประท้วงเพราะผลประโยชน์ที่ตกลงกันไม่ได้  ตั้งกลุ่มขับไล่โจมตีรัฐบาล
ผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายจะเห็นข่าวทางทีวีและหนังสือพิมพ์  มีผู้คนจำนวนมากได้แสดงกิเลสของแต่ละคนออกมามากบ้างน้อยบ้าง  ด้วยการพูดส่อเสียด ด่าทอ หยาบคาย  โกหก  บิดเบือนความจริง  ล้วนแต่ทำให้ศีลข้อมุสามัวหมอง  จนกระทั่งผิดศีล  มีการบันดาลโทสะ  ผูกโกรธ  จองเวร  ต่างๆนานา  มีคนที่จะเป็นมารมากกว่าที่จะเป็นพระ  ได้สะสมกิเลสให้มากขึ้น  ทางอภิธรรมหมายถึงจิตและเจตสิกที่มีอยู่หลายดวง  อันเป็นอกุศลจิตได้ถูกสะสมโดยไม่รู้ตัว
พุทธทำนาย
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในไตรภูมิและพระอนาคตวงศ์
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า  หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๕,๐๐๐ ปี  เมื่อโลกไปถึงจำนวนที่ตถาคตทำนายไว้  มนุษย์และสัตว์จะได้ภัยพิบัติเป็นระยะ ๓๐ ปี  จะเกิดจลาจลวุ่นวาย  เมืองหลวงจะลุกเป็นไฟ  ลูกไฟจะตกจากฟ้า  เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ  มหาสมุทรจะชอกช้ำ  สงครามจะเกิดที่ ๘ ทิศทั่วแคว้นจะอดอยาก  แผ่นดินอธรรมจะถล่ม  เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน    คืน  พวกนอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา
เมื่อภัยพิบัติครั้งนี้ผ่านไป  พวกที่ไม่ได้อยู่ในศีลในสัตย์จะหมดไป  เครื่องเบียดเบียนชีวิตในสมัยวิทยาศาสตร์จะหมดสิ้นไป  การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์  ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด
ในปีมะโรง  ผู้มีบุญคือพระธรรมิกราชจะมาเกิดปีที่มนุษย์จะโก้งโค้ง  จะคลานเหมือนกบ
พุทธทำนายที่ถูกแปลออกมานี้ไม่น่าจะอยู่ในยุคสมัยนี้อย่างที่เมื่อก่อนมีหลายคนเข้าใจคือกึ่งพุทธกาล  แม้จะมีเหตุการณ์หลายอย่างตรงกัน  หลายประเทศเกิดจลาจลและเกิดภัยพิบัติต่างๆ  แต่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้เบียดเบียนกันยังไม่หมดไปง่ายๆ มีแต่จะพัฒนาให้รุนแรงขึ้น
ขณะนี้มีบทแผ่เมตตาของพระยาธรรมมิคฆราช  ที่ว่าได้มาจากถ้ำเมืองกาญจนบุรีได้มีเผยแพร่อยู่ในขณะนี้
พระอนาคตวงศ์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อพระสารีบุตรว่า  ในอนาคตกาลจะมีพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์  จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า  ( มีชื่ออยู่ในเรื่องของทาน )
อันว่านรชาติชายหญิงจำพวกใด  ได้ถวายนมัสการกราบไหว้  ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑๐ คน  กับทั้งไม้พระศรีมหาโพธิ์ ๑๐ ต้น  จะมีผลานิสงส์คือ  มิได้บังเกิดในนรกสิ้นกาลช้านานถึงแสนกัป  ด้วยกุศลเจตนาของตน  ที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑๐ พระองค์นั้น
พระสารีบุตรกราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้านำมาซึ่งอดีตแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ องค์  ความว่า
เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว  ฝูงสัตว์มีอายุถอยลงคงอยู่  ๑๐ ปี  เป็นอายุขัย  ครั้งนั้นจะเกิดมหาภัยเป็นอันมาก  มีสัตถันตรกัลป์  มนุษย์ทั้งหลายจะรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกันจะจับกิ่งไม้และใบหญ้าก็กลายเป็นหอกดาบ  อาวุธน้อยใหญ่ที่มาแทงกัน  ฝูงมนุษย์ที่มีปัญญาก็หนีไปซุกซ่อนอยู่ในป่าเขา  จะเหลืออยู่แต่มนุษย์ที่มีปัญญา  นอกนั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหาย  เมื่อพ้นเจ็ดวันไปแล้วมนุษย์ที่ซ่อนอยู่เห็นสงบดีแล้วก็ออกจากที่ซ่อน  ครั้นเห็นซึ่งกันและกันก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก  กอดรัดร้องไห้รักกันไปมา  บังเกิดความเมตตากรุณากันมากขึ้น  ตั้งอยู่ในเมตตาพรหมวิหารแล้วก็อุตสาหะ  รักษาศีลห้า  เจริญกรรมฐานภาวนาว่า อะยังอัตตะภาโว อันว่ากายของอาตมานี้อนิจจัง  หาจริงไม่  ทุกขังเป็นกองแห่งทุกข์  หาสัญญามั่นหมายมิได้  ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร  เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญหาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนื่องๆ  อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็เจริญขึ้นไป  จาก ๑๐ ปี เป็น ๒๐ ปี  ค่อยทวีขึ้นจนอายุได้ ร้อย พัน  หมื่น  แสน  โกฏิ  จนถึงอสงไขยหนึ่ง  ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักตายแล้ว  ก็มีความประมาท  อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึงแปดหมื่นปี
ครั้นนั้นกรุงพาราณสีเปลี่ยนนามว่า  เกตุมมะดี  มหานะสะกาลเทวบุตร  ก็จุติลงมาเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพัตราธิราช  ทรงพระนามว่า  พระยาสังขจักรเสวยสิริราชสมบัติในเกตุมมะดีมหานคร
ฝ่ายมหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระสังขจักรนั้นเป็นมหาพราหมณ์มีนามปรากฏว่า  สุตพราหมณ์  นางพราหมณ์มณีผู้เป็นภริยานั้นมีนามว่า  นางพราหมณ์วดี  ในกาลนั้นสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์  พระศรีอริยเมตไตรยเจ้า  รับอาราธนานิมนต์แห่งเหล่าเทพยดาทั้งหลาย  ก็จุติลงมาจากดุสิตสวรรค์ลงมาปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณ์วดี  ในวันปัณรสีอุโบสถ เพ็ญเดือน๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ  เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่งพร้อมด้วย  อัศจรรย์ทั้งหลาย  ๑๒ ประการ
พระองค์มีพระชนม์ได้ ๔ หมื่นปีแล้ว  จึงออกบวช  กระทำความเพียรอยู่ ๗ วัน  จึงสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กลับมาที่เรื่องผู้ประท้วงต่อนะ..  ผู้คนทั้งหลายไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตามได้สะสมกิเลสมาเป็นอเนกชาติจนถึงชาติปัจจุบัน  เหมือนพลังของโลกที่ข้างในยังไม่สงบพร้อมที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้ตลอดเวลา  เมื่อผู้ชุมนุมทั้งหลายสะสมกิเลสให้ทวียิ่งขึ้นด้วยการด่าหยาบคาย  แสดงอาการโกรธแค้นไม่พอใจ  สรรหาคำต่างๆเพื่อพูดยั่วยุให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธฯ ตายจากชาตินี้ไปแล้ว  ไปเกิดในนรกหรือบนสวรรค์ก็ดี  เมื่อใช้บุญและบาปหมดแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นคนอีก  ด้วยความที่เป็นปุถุชนอยู่  จึงเกิดตายนับชาติไม่ถ้วน  จึงมีโอกาสไปเกิดในยุคที่พุทธทำนายเอาไว้  กิเลสที่นอนเนื่องเป็นอเนกชาติก็จะระเบิดออกมา  เมื่อมีเหตุปัจจัยทำให้เป็นไป  ถึงฆ่าฟันกันตายในที่สุด  อันเป็นการสร้างผลกรรมให้มากขึ้น  หาที่สุดของพบชาติไม่ได้
เหตุที่เกิดไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้น  รวมไปถึงคนทั่วไปที่เป็นคนนอกศาสนาที่กำลังเข่นฆ่ากันไม่หยุด
เมื่อกระทำผิดศีลมุสาวาทไปแล้ว  ผลต่อเนื่องคือบันดาลโทสะ  และเกิดการเข่นฆ่ากันในที่สุด
ผู้ที่เกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็มก็เพราะกล่าวมุสาวาท  ด่าพ่อแม่  แม้การติเตียนผู้กระทำทานก็ยังบังเกิดเป็นเปรตได้  ทำผิดศีลแต่ละข้อแม้จะตกนรกและใช้กรรมจนหมดแล้ว  ก็ยังมีโอกาสมาเกิดเป็นเปรตได้อีก
มีเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นกับชาวพุทธของเรา  โดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ต่างประเทศและพวกนิยมวัฒนธรรมของต่างชาติ  โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่อาจจะปิดกั้นนรกได้  ซ้ำยังพาตัวเองให้ต้องตกนรกอีก  เพราะไปรับวัฒนธรรมวันโกหกของเขามา  และเห็นเป็นความสนุกสนานไป  นี่แหละคนส่วนใหญ่จึงตกนรกมากกว่าไปสวรรค์
ศีลข้อนี้จะทำให้บริสุทธิ์ได้เป็นของยากอย่างยิ่ง  แม้พระโสดาบันเองละการพูดเท็จได้  แต่ยังพูดคำหยาบที่ไม่น่าฟัง  ไม่รุนแรง  ถึงขั้นที่จะไปอบายภูมิได้เพราะพระโสดาบันจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีก  คำพูดที่ไร้สาระที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องทาน  ศีล  ภาวนา  พระโสดาบันยังละไม่ได้  พระอรหันต์เท่านั้นที่ละได้
พระพุทธเจ้ากล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า  เมื่อบุคคลล่วงธรรมอย่างหนึ่ง  คือ สัมปชานมุสาวาท  (การกล่าวเท็จทั้งที่รู้ )แล้วเรากล่าวว่าบาปกรรมอะไรๆ  อันเขาจะไม่พึงทำไม่มีเลย(สัมปชานมุสาวาทสูตร ๕-๒๔๕)
พอพูดถึงวัฒนธรรมของต่างชาติ  ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะแนะนำบอกกล่าวกันให้รู้และนำไปปฏิบัติก็คือ  การนอนไม่หลับแล้วไปนับแกะอย่างของต่างชาติเขา  ให้เปลี่ยนมาเป็นการท่องพุทโธจะดีกว่า  ถ้าเป็นเด็กหรือลูกๆก็จะเป็นการเพาะนิสัยที่ดีให้เข้าถึงพระพุทธเจ้า  แล้วค่อยอธิบายเกี่ยวกับคุณของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่มากมายให้ลูกๆฟัง  แม้ตัวท่านเองก็จะได้ประโยชน์ต่อการณ์นี้  นำไปใช้ได้ทุกคน
ท่องพุทโธใหม่ๆท่องไปเรื่อยๆ  ให้จิตอยู่ที่พุทโธตลอดเวลา  ถ้าท่องไปเรื่อยๆแล้วหลับไปก็ดี  หรือจะให้จับลมหายใจเข้าพุท  หายใจออกโธก็ได้  ไม่มีรูปแบบ  ท่องเพื่อให้สบายใจก่อน  โดยเฉพาะเด็กๆไม่ต้องตั้งกฎเกณฑ์  ค่อยเป็นค่อยไป  ขณะท่องถ้ามีสิ่งอื่นมารบกวนก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปที่บูชาอยู่ที่บ้านหรือในโบสถ์ที่เราจำได้  การท่องพุทโธขณะจะนอนหลับนั้น  ทำให้นอนหลับสบายไม่ฝันลามก  ป้องกันภัยได้สารพัด
ต่างชาติมีวัฒนธรรมที่ขัดกับศีลธรรมอันดีของบ้านเรา แต่คนบ้านเราก็ยังนิยมเอาสิ่งไม่ดีของเขามาใช้ คือการโกหกหรือวันโกหกโลกหรือ april fool day  โกหกกันทั้งประเทศ  อย่างวันเกิดของใครสักคนโดยเฉพาะพ่อแม่ของเรา ที่ท่านกำลังรอให้ลูกๆมาอวยพรให้  แต่ลูกๆแกล้งทำเป็นลืม พอตกดึกท่านจะเข้านอนแล้วถึงมาเซอร์ไพรส์อวยพรให้ท่าน แต่ก่อนหน้านั้นถ้าท่านเกิดมีอันเป็นไปเสียก่อน และท่านก็ทุกข์กับการรอคอยคำอวยพรหรือการจัดงานวันเกิดให้ท่าน ถ้าท่านตายไปตอนนั้นท่านก็ต้องตกนรกทันที เพราะจิตเศร้าหมองกระวนกระวายที่ใครๆจำวันเกิดของท่านไม่ได้ ดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดานะ จะทำอะไรก็คิดให้ดี
อานุภาพพุทโธ
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานแล้ว  มีคนมิจฉาทิฐิผู้หนึ่งนับถือพระพรหม  คนอีกผู้หนึ่งเป็นสัมมาทิฐิ  อาศัยอยู่ในนครราชคฤห์  ทั้งสองต่างมีลูกชายคนละคน  เด็กทั้งสองเป็นเพื่อนกันชอบเล่นด้วยกัน  วันหนึ่งเมื่อเด็กทั้งสองเล่นกีฬาตีคลี  บุตรของคนสัมมาทิฐิกล่าวว่า  นะโมพุทธายะ ( ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธ ) แล้วโยนลูกคลีไปก็ชนะทุกๆวัน  บุตรของคนมิจฉาทิฐิกล่าวว่า  นะโมพรหมุโน ( ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพรหม ) แล้วโยนลูกคลีไปก็แพ้
ครั้นแล้วลูกของคนมิจฉาทิฐิ  จึงถามว่า  เพื่อนเอ๋ย  เธอชนะอยู่เสมอ  เธอกล่าวอะไรก่อนโยนลูกคลี  ก็ได้คำตอบจากเพื่อนว่า  เรากล่าวว่า  นะโมพุทธายะ  ก่อนโยนลูกคลี  เด็กทั้งสองก็ยังเล่นกันอยู่บ่อยๆ
ต่อมาบุตรของคนมิจฉาทิฐิก็ตามบิดาเข้าไปในป่าหาฟืน  เมื่อได้ฟืนพอสมควรแล้วใส่เกวียนบรรทุกกลับมา  ใกล้ถึงประตูนครก็ปล่อยให้วัวไปกินหญ้า  วัวได้เข้าไปในนครกับวัวตัวอื่น  บิดาของเขาจึงสั่งให้บุตรดูแลเกวียนให้ดี  บิดาจะเข้าไปตามหาวัว  เขาเข้าไปยังนครก็ถึงเวลาเย็นแล้ว  ทหารจึงปิดประตูเมือง
ครั้นแล้วเด็กผู้นั้นก็นอนอยู่ใต้เกวียน  ยักษ์ที่เป็นมิจฉาทิฐิพูดว่า  เราจะกินเด็กคนนี้  แต่ยักษ์ที่เป็นสัมมาทิฐิพูดว่า  ท่านอย่าทำอย่างนี้  พูดห้ามกันถึง ๓ ครั้ง

แล้วยักษ์มิจฉาทิฐิก็เข้าไปจับเท้าเด็กลากออกมาจากเกวียน  ในขณะนั้นเด็กได้กล่าวว่า  นโมพุทธายะ  เพราะความเคยชิน  ยักษ์ได้ยินแล้วเกิดความกลัวขนลุก  ปล่อยมือแล้วก้าวกลับไปยืนอยู่  โอ! อานุภาพของพระพุทธ  น่าอัศจรรย์แปลกประหลาด  คนที่ไม่ได้มอบตนอย่างนี้  แม้กล่าวว่านโมพุทธายะ ด้วยความเคยชินภัยจากความสะดุ้งตกใจหรืออุปัทวะอันตรายย่อมไม่มี  จะป่วยการกล่าวไปใยถึงผู้มอบตนถึงพระพุทธเป็นสรณะตลอดชีวิต  สมจริงตามคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เสียงบันลือของนกยูงทั้งหลาย  ย่อมนำความกลัวมาให้แก่งูทั้งหลาย  แม้ฉันใดคำว่าพุทโธ  ย่อมนำความกลัวมาให้แก่อมนุษย์ทั้งหลายฉันนั้น
ความชั่วร้ายย่อมถึงการละลายไปด้วยการร่ายมนต์ฉันใด  ปีศาจทั้งหลายย่อมพากันหนีไปด้วยออกวาจาว่าพุทโธ ฉันนั้น
ขี้ผึ้งเห็นไฟแต่ไกล  ย่อมละลายฉันใด  เปรตทั้งหลายย่อมหนีไปแต่ไกล  เพราะเห็นผู้ถึงสรณะฉันนั้น
อักษรสองตัวนี้ว่า  พุทโธประเสริฐ  อัศจรรย์  ขึ้นไปสู่กำแพงมั่นคง  เป็นไปเพื่อความพินาศแห่งสรรพอุปัทวะอันตราย
คำว่าพุทโธนั้นนั่นเทียวเป็นรัตนะปราสาทเจ็ดชั้น เป็นวชิรคูหา คำว่าพุทโธ  นั้นนั่นเทียวเป็นนาวา  เป็นเกาะ  คำว่าพุทโธนั้นนั่นเทียวเป็นเสื้อเกราะอันดีงาม
คำว่าพุทโธนั้นนั่นเทียวเป็นมกุฎแก้วส่องแสงสว่างอยู่บนศีรษะ  เป็นรอยเจิมงามน่ารื่นรมย์บนหน้าผาก  เป็นพิมเสนใส่ตาทั้งสองข้าง
เป็นตุ้มหูในหูทั้งคู่  เป็นพวงมาลัยทองอันงามที่คอ  เป็นสร้อยไข่มุกเส้นเอกประดับที่บ่าทั้งสอง
เป็นทองกรแห่งต้นแขน  และเป็นกำไลที่ปลายแขน  เป็นแหวนที่นิ้วทั้งหลาย  และเป็นพระขรรค์ที่สมมุติว่าเป็นมงคล
คำว่าพุทโธนั้นนั่นเทียว  เป็นร่มทองเป็นหมวกเป็นแล่งปืนพร้อมทั้งลูกปืน  เป็นเครื่องประดับทั้งปวง  คำว่าพุทโธนั้นนั่นเทียวละความชั่วได้
เพราะฉะนั้นแหละคนที่เป็นบัณฑิต  พึงถึงพระนามที่มีคุณซึ่งอวดเขาได้  อันเป็นพระนามของพระศาสดาผู้เป็นนัยน์ตาของโลกว่าเป็นที่พึ่ง
คำต้นว่า  นะโม  คำหลังว่า  พุทธายะ  ในครั้งนั้น  กุมารผู้เป็นลูกคนมิจฉาทิฐิกำลังหลับพูดออกมาแล้ว
แม้ปีศาจที่ชอบซากศพมนุษย์ได้ยินแล้ว  ย่อมไม่เบียดเบียน  โอ! คุณแห่งพระพุทธมีสาระใหญ่หลวง
ครั้งนั้นยักษ์สัมมาทิฐิพูดกับยักษ์มิจฉาทิฐิว่า  แน่ะพ่อเฮ้ย  ท่านทำกรรมอันไม่ควรเสียแล้ว  ท่านให้การทำร้ายในพุทธคุณ  ท่านพึงทำกรรมชั่วร้าย  เมื่อยักษ์มิจฉาทิฐิถามว่ากระนั้น  เราควรทำอย่างใดดีเพื่อนเอ๋ย  ยักษ์สัมมาทิฐิพูดว่า  ท่านต้องให้อาหารแก่กุมารผู้หิว  ครั้นแล้วยักษ์มิจฉาทิฐิพูดว่า  ดีแล้วและบอกว่า  ท่านจงอยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าข้าพเจ้าจะมา  แล้วนำอาหารรสเลิศที่เขาใส่ถาดทองของพระราชาพิมพิสาร  มาให้เด็กโดยแปลงตัวเป็นบิดาของเด็กนั้น  แล้วเขียนคำว่าพุทโธที่เด็กนั้นกล่าวกับความพยายามที่ตนทำแล้วทั้งหมดไว้ในถาด  อธิฐานว่าเรื่องนี้จงปรากฏแก่พระราชาเท่านั้น แล้วจากไป
ครั้นสว่างแล้ว  ราชบุรุษไม่เห็นถาดทองในที่นั้นในเวลาพระราชาเสวย  จึงสืบหาไปทั่วนคร  เห็นเด็กที่เกวียนและถาด  จึงพาเด็กและถาดมาหาพระราชา  พระราชาทอดพระเนตรเห็นอักษรในถาด  ทรงอ่านแล้วทรงเลื่อมใสในคุณของเด็กนั้น  ทรงประทานตำแหน่งเศรษฐีกับยศอันใหญ่ยิ่ง
การหลับละเมอออกพระนามของพระชินอย่างนี้  สิ่งที่น่ากลัวย่อมไม่มี  เพราะเหตุใด  เพราะเหตุนั้นท่านทั้งหลายจงระลึกถึงพระพุทธผู้จอมปราชญ์  เมื่อระลึกถึงพระคุณก็จะถึงสรณะดังนี้
จะเป็นพุทโธหรือนโมพุทธายะใช้ได้เหมือนกันไม่ต้องสงสัย บางคนจะเข้าใจว่านะโมพุทธายะคือหัวใจพระเจ้า๕พระองค์ ที่มีคำย่อดังนี้ คือ นะ พระกกุสันโธ  โม พระโกนาคม  พุท  พระกัสโป  ธา  พระโคตโม  ยะ คือ พระศรีอรืยะเมตไตร ซึ่งไม่มีคำย่อที่เกี่ยวข้องกันเลย  อย่างหัวใจพระอภิธรรม จิ เจ รู นิ  จิคือจิต  เจคือเจตสิก รูคือรูป  นิคือนิพพาน  หรือหัวใจพระเจ้าสิบชาติ  ที่ตัวย่อจะมีอยู่ในบทนั้นๆ  อีกอย่างหนึ่งคือพระศรีอาริยะเมตไตรยังไม่ได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงพระโพธิสัตว์อยู่เท่านั้นและยังต้องมาเกิดอีกหนึ่งครั้งเพื่อมาสร้างทานบารมีครั้งสุดท้ายเหมือนกับพระเวสสันดร คืออบริจาคลูกเมียเป็นทาน  ในพระคาถาบางบทกล่าวถึง  นะโมพุทธายะ   นะโมธัมมายะ   นะโมสังฆายะ   ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระธรรมเจ้า   ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระสงฆ์เจ้า   เพราะความรู้ที่ถ่ายทอดกันมาผิดๆหรือเพี้ยนไปจากของเดิมด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆ  ทำให้ปัจจุบันยึดเป็นรูปแบบตามกันมา    
 เคยมีเรื่องเล่ากันว่ามีพระหนุ่มจากกรุงเทพฯ  เดินทางเข้าไปในป่าเจอะกับพระธุดงค์และได้ขออาศัยอยู่ร่วมกันเพื่อศึกษาการใช้ชีวิตของพระป่าว่าปฏิบัติอย่างไร  อยู่มาวันหนึ่งพระทั้งสองรูปบิณฑบาตไม่ได้อาหารอะไรเลยแม้แต่ข้าวทับพีเดียว  พระหลวงตาบอกพระหนุ่มว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจะเสกข้าวให้กิน  แล้วไปนำก้อนหินมาจำนวนหนึ่งแล้วเสกก้อนหินนั้นให้เป็นข้าว  พระทั้งสองรูปจึงมีข้าวฉันในวันนั้น  ด้วยความสงสัยของพระหนุ่มจึงได้ถามพระหลวงตาว่า  ท่านเสกด้วยคาถาอะไร   พระหลวงตาบอกว่าเสกด้วย อิติปิโสภะคะวือ  พระหนุ่มพยายามทบทวนบาลีที่ได้เรียนมาก็อดสงสัยไม่ได้จึงบอกกับพระหลวงตาว่า  ผมไม่เคยได้ยินคำว่าอิติปิโสภะคะวือเลยนะ  มีแต่อิติปิโสภะคะวา  หมายถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  หลวงตาก็ตอบว่าอย่างนั้นหรือ  ขอบใจนะ  พรุ่งนี้จะลองใช้ดู  พอวันรุ่งขึ้น   หลวงตาก็เอาก้อนหินมาเสกอีก  เสกเท่าไรๆก็ไม่เป็นข้าวซักที  เหตุเพราะว่าหลวงตาเกิดความลังเลสงสัยขึ้นมาทำให้ใช้คาถาไม่ได้ผล  ถึงแม้คาถาบทนั้นอักขระจะผิดไปแต่ด้วยความเชื่อมั่นที่ได้รับถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์ก็ทำให้คาถาบทนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ได้ 
 ในบทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกซึ่งเคยเห็นมีอยู่สองแบบด้วยกัน  ในตอนท้ายจะมีคำว่า นะโมพุทธายะ  ที่แปลว่าข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า  ดังนั้น คำว่านะโมพุทธายะจึงไม่ใช่พระเจ้า ๕ พระองค์ อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน  คือพระศรีอาริยะเมตตรัยยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า  ขาดเหตุแห่งความสมบูรณ์  เหตุผลอีกอย่างคือ  เรื่องการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่หนึ่งที่มีพระกัสสปะเถระเป็นประธาน  คัดเลือกได้พระอรหันต์  ๔๙๙ รูปรวมทั้งท่านด้วย  แต่ในที่ประชุมสงฆ์และตัวท่านเองมีความต้องการที่จะให้พระอานนท์เข้าร่วมด้วย  แต่ติดที่ว่าพระอานนท์เป็นเพียงเสขบุคคลคือเป็นเพียงพระโสดาบันเท่านั้น  การจะเข้าร่วมประชุมด้วยพระเถระนั้นไม่สมควร และในการสังคายนาครั้งนี้จะขาดพระอานนท์ไม่ได้เลย  เนื่องด้วยพระอานนท์เป็นพระหูสูตและเป็นองค์อุปัฏฐากใกล้ชิดพระพุทธเจ้า  จึงต้องเลื่อนเวลาไปก่อน   ก่อนถึงกำหนดหนึ่งวันพระอานนท์  เกิดความเพียรเจริญกายคตาสติ  ตลอดราตรีนั้น  ดำริว่าเราอาจจะทำความเพียรมากเกินไป  จึงเข้าไปที่พำนักเพื่อจะพักผ่อน  ขณะที่กำลังเอนกายลง  ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน  เท้าทั้งสองเพียงพ้นจากพื้น  ในระหว่างนั้นจิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย  พระอานนท์บรรลุอรหันต์แล้ว   พร้อมด้วยอภิญญา ๖  และปฏิสัมภิทา๔ ในคืนนั้น  ครั้นใกล้ถึงเวลากระทำสังคายนา  พระอานนท์ก็แสดงฤทธิ์ผุดจากพื้นดิน   แสดงตนบนอาสนะในขณะนั้น  นี่ก็แสดงให้เห็นว่า  การจะเข้าหมู่เข้าพวกกันได้ต้องมีฐานะที่เหมือนกัน  ในกรณีนี้คือความเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน  พระอรหันต์ตัดกิเลสหมดสิ้นแล้ว  แต่พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี  และพระอนาคามี  ยังตัดกิเลสไม่หมด  เมือกิเลสยังไม่หมดเวลาพิจารณาธรรม อาจมีข้อขัดแย้งกันได้   ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ได้ตรัสถามพระอริยะสาวกทั้งหลายว่ามีความสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระองค์หรือไม่   พระอริยะสาวกทั้งหลายไม่มีผู้ใดมีความสงสัยเลยสักรูปเดียว  หรือแม้แต่การแบ่งพระบรมพระสารีริกธาตุ  พระอริยะสาวกทั้งหลายก็ไม่มีผู้ใดที่จะขวนขวายให้ได้มาครอบครอง  ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้อยู่กับพวกท่านหมดแล้ว  ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา  ซึ่งทุกท่านได้เห็นแล้วจึงไม่ปรารถนาที่จะไปแย่งชิงกับผู้อื่น
รู้อย่างนี้แล้วจะนอนนับแกะอยู่ทำไม
พิจารณาเด็กทั้งสองเล่นกันนะ  ไม่มีการพนัน  เพราะการพนันผิดหลักธรรม
ยักษ์ถูกหลอก
มีเรื่องอานุภาพของผู้ถึงพระพุทธเป็นสรณะ  เมื่อยักษ์ตนหนึ่งเข้าเกาะอยู่ในร่างกายของชายผู้หนึ่งเพื่อเบียดเบียนเขา  ครั้งหนึ่งชายผู้นั้นได้ไปยังบ้านของอุบาสกผู้ถึงพระพุทธเป็นสรณะ  ยักษ์ไม่อาจเข้าไปยังบ้านของอุบาสกนั้นได้ด้วยอำนาจแห่งคุณของพุทธทาสอุบาสก  ยักษ์นั้นได้รับความหิวบีบคั้นถึง ๗ วัน  แล้วชายผู้นั้นก็ออกจากบ้านหลังนั้นมา
ครั้นแล้วยักษ์ตนนั้นก็รีบเกาะชายผู้นั้นทันที  ชายผู้นั้นถามยักษ์ว่า  ตลอดเวลา ๗ วัน ท่านไปอยู่ที่ไหน  ก็ได้รับคำตอบว่า  ข้าพเจ้าเฝ้าอยู่ที่หน้าบ้านที่ท่านได้เข้าไปอาศัย  แล้วชายผู้นั้นก็ถามต่อไปว่า  ทำไมท่านไม่เกาะข้าพเจ้าขณะอยู่ในบ้านนั้น  และที่ท่านมาเกาะข้าพเจ้าท่านต้องการอะไร  ยักษ์นั้นตอบไปว่า  ข้าพเจ้าได้รับความหิวทรมาน  ข้าพเจ้าต้องการข้าวและอาหารจากท่าน  แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถเกาะท่านได้  เนื่องจากในบ้านนั้นมีอุบาสกคนหนึ่งถึงพระพุทธเป็นสรณะ  ด้วยเดชศีลของอุบาสกนั้นข้าพเจ้าไม่อาจเข้าไปบ้านหลังนั้นได้จึงยืนรออยู่
ชายผู้นั้นไม่รู้ว่าสรณะคืออะไร  จึงถามยักษ์ว่าอุบาสกนั้นถืออะไรเป็นสรณะ  ยักษ์ตอบว่า  อุบาสกกล่าวว่าข้าพเจ้าถึงพระพุทธเป็นสรณะ  เมื่อชายผู้นั้นรับทราบแล้ว  จึงคิดที่จะลวงยักษ์นี้  จึงพูดว่า  ดูกรยักษ์  ถ้ากระนั้นแม้ข้าพเจ้าก็ถึงพระพุทธเป็นสรณะ  พอเขาพูดอย่างนี้  ทำให้ยักษ์ร้องเสียงดัง  หมุนตัวหนีไปด้วยความกลัว  การระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้  ย่อมเป็นการห้ามภัยและอุปัทวะอันตรายในโลกนี้
คำว่าพุทโธนั้น  นำความกลัวมาให้แก่อมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นไปเพื่อความพินาศแห่งอุปัทวะอันตรายทั้งปวง  เป็นยาทิพย์อย่างประจักษ์เป็นทิพมนต์  เป็นมหาเดช  เป็นมหาอัศจรรย์  เพราะฉะนั้นยักษ์ร้ายนั้นเห็นชายผู้นั้นตั้งอยู่ในสรณะ  จึงมีความหวาดกลัว  ขนลุก  ตกใจ
ชายผู้นั้นแม้กล่าวอ้างว่าตนได้เข้าถึงพระพุทธเป็นสรณะ  ก็ยังพ้นภัยจากยักษ์ร้ายนั้นไปได้  และผู้ที่เข้าถึงพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เป็นสรณะอย่างจริงใจตลอดชีวิตจะมีอานุภาพขนาดไหน

ไม่มีความคิดเห็น: