วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทที่ ๒๒ นิพพานด้วยปัญญา (๖) ทำกรรมโดยไม่เจตนา

กรรมและวิบากกรรม
บุคคล ๗ ประการ  ที่เกี่ยวข้องกับกรรมและวิบาก  พระผู้มีพระภาคกล่าวกับสุภมานพโตเทยยบุตรไว้ว่า  ดูกรมานพ  สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน  เป็นทายาทแห่งกรรม  มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวให้ประณีตได้  ดูกรมานพ 
(๑) บุคคลในโลกนี้เป็นผู้มักทำให้ชีวิตให้ตกล่วงเป็นคนเหี้ยมโหด  มือเปื้อนเลือดหมกมุ่นในการประหัตประหาร  ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต  ตายไปจะเข้าถึงอบาย  ทุคติวินิบาตนรก  เพราะกรรมนั้น  ถ้าภายหลังเกิดมาเป็นมนุษย์  ย่อมเป็นผู้มีอายุสั้น  ผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ฯ  ตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  หากไม่เข้าถึงโลกสวรรค์  เกิดมาเป็นมนุษย์  หรือภายหลังเกิดมาเป็นมนุษย์ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน 
(๒) เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ  ด้วยก้อนหิน  ไม้หรืออาวุธ  ตายไปจะเข้าถึงอบายฯ  ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์จะเป็นคนมีโรคมาก  ผู้ไม่เบียดเบียน  ตายแล้วเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ถ้าเกิดเป็นคนมีโรคน้อย 
(๓) บุคคลผู้มักโกรธ  มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดเคืองโกรธ  พยาบาท  มาดร้าย  ทำความโกรธเคือง  ความร้ายและขึ้งเคียดให้ปรากฏ  ตายไปย่อมเข้าถึงอบาย  ทุคติฯ ถ้าเกิดเป็นคนมีผิวพรรณทราม  ผู้ไม่มักโกรธฯ ตายไปเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ถ้าเป็นคนมีผิวพรรณดี  (๔)  บุคคลมีใจริษยา  ย่อมริษยา  มุ่งร้าย  ผูกใจอิจฉาในลาภ  สักการะ  ความเคารพ  ความนับถือ  การไหว้  การบูชาของคนอื่น  ตายไปย่อมเข้าถึงอบาย  ทุคติฯ  ถ้าเป็นมนุษย์จะมีศักดาน้อย  บุคคลไม่มีใจริษยา  ตายไปเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  เป็นคนมีศักดามาก 
(๕) บุคคลไม่ให้ข้าวให้น้ำ  ผ้า  ยาน(รองเท้า, ร่ม) ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่นอน  ที่อาศัย  เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์  ตายไปจะเข้าถึงอบาย  ทุคติฯ  หากเป็นมนุษย์จะเป็นผู้มีโภคะน้อย  ผู้ที่ให้จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ที่เกิดเป็นมนุษย์จะมีโภคะมาก 
(๖) บุคคลเป็นคนกระด้าง  ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้  ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ  ไม่ให้อาสนะ ไม่ให้ทาง ไม่สักการะ ไม่เคารพฯ ตายไปเข้าถึงอบาย  ทุคติฯ  เป็นมนุษย์จะเกิดในสกุลต่ำ  บุคคลผู้ไม่กระด้างฯ  ตายไปเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  เป็นมนุษย์จะเกิดในตระกูลสูง 
(๗) บุคคลไม่ไปหาสมณพราหมณ์  ถามว่าอะไรเป็นกุศล  อะไรเป็นอกุศล  อะไรมีโทษ  อะไรไม่มีโทษ  อะไรควรเสพ  อะไรไม่ควรเสพฯ  ตายไปจะเข้าถึงอบาย  ทุคติเกิดเป็นคนจะมีปัญญาทราม  บุคคลผู้เข้าหาสมณพราหมณ์ฯ  ตายไปย่อมถึงสุคติโลกสวรรค์  เกิดเป็นคน  จะเป็นผู้มีปัญญา  (จุฬกัมมวิภังคสูตร ๖-๔๑๗)
ท่านทั้งหลายเป็นบุคคลประเภทไหนในเจ็ดประเภทนี้  ถ้าเชื่อในเรื่องของกรรมแล้วให้พิจารณาว่าเราอยู่ในประเภทไหนหรือหลายประเภทรวมกัน  ถ้ากระทำหรือไม่กระทำสิ่งนั้นๆแล้ว  จะได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างไร
คนส่วนใหญ่บอกว่าเวลานี้ขาดที่พึ่ง  จึงไปบูชาเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนทั้งหลายกล่าวยกย่องคุณต่างๆให้ฟัง  และหันไปตำหนิพระที่ทำไม่ดีผิดธรรมวินัย  ซึ่งบางครั้งความผิดที่เกิดขึ้นกับชาวพุทธนี่เองที่ไม่เข้าใจหลักธรรม  แล้วไปทำให้ท่านผิดวินัย  อย่างนำเงินใส่บาตรเป็นต้น  ก็รู้กันอยู่ว่าพระอริยะนั้นมีน้อยมากส่วนใหญ่ก็เป็นพระปุถุชนกันอยู่  ดังนั้นท่านเองก็พยายามฝึกและปฏิบัติเพื่อจะละกิเลสให้เบาบางลง  แต่พอมีอะไรไปกระตุ้นหน่อย  กิเลสตัวนั้นก็ระงับไม่อยู่  จึงทำผิดพระวินัยข้อต่างๆ  ตามที่ได้เห็นได้ยินกัน  แล้วจะมาบอกว่าพระท่านไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้  จึงขาดความเลื่อมใสคอยแต่จะตำหนิโทษท่านอย่างเดียวก็ไม่ได้  พระท่านที่ปฏิบัติดีก็มีมาก  เราอย่าไปยึดติดตัวบุคคล  ให้ยึดเอาหลักธรรมมาใช้  ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา  พระพุทธเจ้าก็กล่าวไว้เช่นนั้น  พระธรรมก็มีมา ๒๕๕๕ ปี  มาแล้ว  ไม่มีเปลี่ยนแปลง  นอกจากเราไม่นำหลักธรรมมาใช้แล้ว  ยังประพฤติผิดหลักธรรมกันอีก  ก็เลยบอกว่าไม่มีที่ยึดเหนี่ยว
พระธรรมมีถึง  ๘๔,๐๐๐  พระธรรมขันธ์  จะให้รู้หมดคงเป็นไปไม่ได้  แต่หลักธรรมที่พระท่านเทศน์ท่านสอน  ถ้าเราเข้าใจและปฏิบัติได้จริงก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบันแล้ว
โดยเฉพาะถ้าเข้าใจเรื่องของกรรม  ใครทำใครได้  ใครกินคนนั้นอิ่มเอง  ใครปฏิบัติคนนั้นก็ได้  ไม่ว่าบุญหรือบาปทุกอย่างไม่มีฟรี  ทุกอย่างย่อมให้ผลจะช้าหรือเร็ว
เบื้องต้นพยายามรักษาศีล ๕ ให้ได้ก็ประเสริฐแล้ว  พูดง่ายทำยากต้องใช้ความพยายามอย่างสูง  พยายามทำทานและบุญมิได้ขาด  ชีวิตก็จะประสบความสำเร็จเองในไม่ช้า  พอมีเวลาเหลืออยู่บ้างก็ลงมือปฏิบัติภาวนา  จะเป็นวิปัสสนาหรือกรรมฐานก็ขอให้มีการเริ่มต้นก่อนแล้วค่อยๆพิจารณาธรรมที่เหมาะสมกับจริตของตัวเอง  การปฏิบัติก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
มงคล ๓๘
ผู้ที่เกิดหรืออยู่ในประเทศไทยถือว่าโชคดีอยู่แล้ว  เพราะได้อยู่ในประเทศอันสมควรเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่  เป็นมงคลอย่างยิ่ง ในมงคล ๓๘ ประการ  แต่คนไทยส่วนหนึ่งใกล้เกลือกินด่าง  ไปยึดถืออย่างอื่นเป็นมงคลมากกว่ามงคล ๓๘ ประการของพระพุทธเจ้า
เวลานี้ชาวต่างชาติให้ความสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้นโดยเฉพาะ  การปฏิบัติภาวนา  แต่คนไทยส่วนใหญ่กับละเลยเสีย  เวลานี้ยังมีพวกฝรั่งมาสอนคนไทยด้วยซ้ำไป  แม้ศาสนาพุทธนิกายอื่นของต่างชาติก็ได้เข้ามาประเทศไทยและก็มีคนที่เข้าไปปฏิบัติศาสนกิจกับเขาด้วย  คนที่เข้าไปลองก็มีที่เข้าไปแล้วเกิดศรัทธาในพิธีของเขาก็มี
การที่ยังไม่ศึกษาของเราให้ดีเสียก่อน  คอยแต่ไปติพระรูปนั้นรูปนี้คือไปยึดติดตัวพระมากกว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  จึงทำให้ขาดศรัทธา  พอมีอย่างอื่นมากับการบอกกล่าวเลยถือเป็นมงคลเข้าไปศรัทธากับเขาด้วย
ทานที่ให้ผลต่างกัน
มีเทพบุตรอยู่  ๒ องค์  องค์หนึ่งชื่อ อินทกเทพบุตร  ได้ถวายข้าวทัพพีหนึ่งแก่พระอนุรุทธเถระ  อีกองค์หนึ่งชื่ออังกุรเทพบุตรได้ทำเตาไฟยาวถึง ๑๒ โยชน์  ให้ทานอยู่ตั้ง ๑๐,๐๐๐ ปี
ผลทานของ อินทกเทพบุตร  มีผลมากกว่า  อังกุรเทพบุตร เพราะทานอันบุคคลให้แล้วในเขตบุญที่มีผลมากคือทานในทักขิไณยบุคคล  เหมือนพืชที่บุคคลหว่านแล้วในนาดี  ทำให้อินทกเทพบุตรมีบริวารและรัศมีรุ่งเรืองกว่าอังกุรเทพบุตร
มีบ้างบางคนที่หลงผิดไม่อยากจะทำบุญ  เพราะเห็นพระประพฤติมิชอบทำตัวเสื่อมเสียตกเป็นข่าวไม่ค่อยดี  อย่าคิดอย่างนั้นเลย  จะเป็นการตัดบุญของตัวเอง  บุญทานมีหลายอย่างอานิสงค์ก็ต่างกันไป
อานิสงค์ของทักษิณาปาฏิบุคลิกทาน
๑.     ให้ทานในสัตว์เดรัจฉาน  พึงหวังผลทักษิณาได้ ๑๐๐ เท่า
๒.    ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีลได้  ๑,๐๐๐ เท่า
๓.    ให้ทานในปุถุชนผู้ทรงศีลพึงหวังผลได้แสนเท่า
๔.    ให้ทานในปุถุชนภายนอก (พราหมณ์  ดาบส  ฤๅษี  เป็นต้น)  ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม  พึงหวังผลได้ แสนโกฏิเท่า
๕.    ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติผลพึงหวังผลทักษิณานับมิได้
ป่วยการจะกล่าวไปใยในพระโสดาบันและที่สูงๆขึ้นไป  (ทักขิณาวิภังคสูตร ๗-๗๒)
                อานิสงค์ถวายสังฆทาน ๗ แบบ  เรียงลำดับดังนี้
(๑) ให้ทานในสงฆ์สองฝ่ายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
(๒) ให้ทานในสงฆ์สองฝ่ายเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
(๓) ให้ทานในภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดี่ยว
(๔) ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดี่ยว
(๕) เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้เป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้วให้ทาน
(๖) เผดียงว่า ขอได้จัดภิกษุณีสงฆ์จำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้วให้ทาน
(๗) เผดียงว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แล้วให้ทาน (๑,๒,๔,๖,๗ ไม่มีแล้ว)
                ดูก่อนอานนท์ ก็ในอนาคตกาลจักมีแต่ภิกษุโคตรภู  มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล  ศีลธรรมเลวทราม  คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้แต่ในเหล่าภิกษุทุศีลเท่านั้น  ทักษิณาทานที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้เวลานั้น  เราก็ว่ามีผลนับไม่ได้ประมาณมิได้  แต่ว่า  เราไม่กล่าวปาฏิบุคคลิกทานให้เจาะจงว่ามีผลมากกว่าทักษิณาที่ถวายในสงฆ์โดยเหตุไรๆเลย (ทักษิณาวิภังคสูตร ๗-๗๒)
                เวลานี้พระสงฆ์ยังห่มจีวรครบบริบูรณ์อยู่  แม้ศีลจะบกพร่องไปบ้าง  ก็ยังดีกว่าพระสงฆ์ที่มีแต่เพียงผ้าเหลืองพันคอเท่านั้น  เพราะเวลานั้นยังอีกยาวไกล  อย่ามัวประมาทอยู่เลย  รีบๆทำบุญทำทานซะ  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
                มีดาราหญิงคนหนึ่ง  ไปช่วยชายพิการคนหนึ่งขายของ  ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเขาพิการจริงๆ  ด้วยดาราหญิงคนนั้นได้ช่วยอย่างบริสุทธิ์ใจ  ถึงแม้จะรู้ความจริงภายหลังก็ไม่ติดใจอะไร  ดาราผู้นั้นได้อานิสงค์ไปแล้ว ๑,๐๐๐ เท่า  ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีของฟรีหรอก  ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น  จะส่งผลมากหรือน้อย  เร็วหรือช้าก็ด้วยปัจจัยต่างๆเป็นเหตุ  เข้าหลักก่อนทำ  ขณะทำ  หลังทำ  บุญเกิดแล้ว  แม้จะมาโกรธภายหลังก็เป็นอกุศลธรรม  แต่กุศลธรรมได้เกิดขึ้นในครั้งแรกแล้ว  และถ้าคิดอย่างนี้ต่อไปกุศลธรรมก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องลงมือกระทำ  ทำบุญครั้งเดียวพิจารณาถึงบุญนั้น  ๑๐ ครั้งก็ได้ ๑๐ ครั้ง คิดถึง ๑๐๐ ครั้งก็ได้ ๑๐๐ ครั้ง
                ทำกรรมโดยไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์
                ภิกษุสันดานกา  ภาพปัญหาที่มีการวิจารณ์กันในหมู่ชาวพุทธ  เมื่อหลายปีก่อน  ผมนำมาให้พิจารณากันอีกครั้งเป็นกรณีศึกษาเพื่อความรู้ในหลักธรรมที่ละเอียดขึ้น  ฝ่ายคณะกรรมการพิจารณากันแล้วก็ยังคงดำเนินการเผยแพร่ต่อไป
                จะอย่างไรก็ตาม  ผู้วาดภาพนี้ก็ได้ลบหลู่พระธรรมโดยไม่เจตนา เช่นเดียวกับพระลกุณฎกภัททิยเถระ  ซึ่งอดีตชาติท่านเคยเป็นหัวหน้าช่างไม้  ในขณะนั้นจะมีการสร้างพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า  จึงมีการประชุมกันว่าจะสร้างพระเจดีย์สูงเท่าไหร่ดี  จึงจะสมกับพระเกียรติคุณของพระองค์  บ้างก็ว่า ๗ โยชน์  บ้างก็ว่า ๕ โยชน์  บ้างก็ว่า ๔ โยชน์  บ้างก็ว่า ๒ โยชน์  มากคนมากความคิด  หัวหน้าช่างจึงเสนอความคิดเห็นว่า  ให้มองถึงวันข้างหน้าที่จะต้องมีการซ่อมแซมด้วย  ถ้าหากใหญ่โตเกินไปเวลาทรุดโทรมก็จะซ่อมแซมลำบาก  นายช่างใหญ่จึงว่าควรก่อสร้างพระเจดีย์ให้สูงเพียงหนึ่งโยชน์ก็พอแล้ว
                ด้วยเหตุนี้เอง  เมื่อนายช่างไม้ผู้นี้ได้มาเกิดใหม่ในสมัยพระพุทธเจ้าของเรา  ท่านจึงมีร่างกายต่ำเตี้ยจนถูกผู้อื่นล้อเลียนตลอดเวลา  แต่ในที่สุดท่านก็สามารถสำเร็จพระอรหันต์ได้  ไม่ใช่เพราะบุญที่ท่านได้เคยสร้างพระเจดีย์เท่านั้น  ในชาติก่อนๆ ท่านก็ทำบุญไว้มาก
                ซึ่งในสมัยพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านก็มีความปรารถนาที่จะมีเสียงไพเราะอย่างภิกษุรูปหนึ่ง  ที่พระพุทธเจ้าได้ตั้งไว้ในตำแหน่งอันเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านมีเสียงไพเราะ
                ท่านได้ถวายภัตตาหารที่บ้านของตนตลอด ๗ วัน และยังความปรารถนานั้นทูลถามต่อพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ได้ทรงพยากรณ์อีกแสนกัปจากนี้ไป  จะมีพระพุทธเจ้านามว่าโคดมจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก  เธอจะได้เป็นพุทธสาวกผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายทางด้านมีเสียงไพเราะ  ในศาสนาของพระสมณโคดมพุทธเจ้านั้น
                ยังความปิติให้แก่ท่านยิ่งนัก  ในการพุทธพยากรณ์ในครั้งนั้น  ท่านได้กระทำบุญทานตลอดชีวิต
                เรื่องของพระเจ้าพิมพิสารที่ลบหลู่พระธรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  พระองค์ได้ทรงฉลองพระบาทเข้าไปในลานพระเจดีย์ และทรงเหยียบเสื่อที่เขาปูไว้สำหรับนั่ง  ด้วยพระบาทที่ยังไม่ได้ชำระ
                ด้วยผลกรรมในครั้งนี้  พระองค์ถูกเอามีดโกนผ่าพระบาททั้งสองข้างแล้วเอาน้ำมันผสมเกลือทาและยังย่างด้วยไฟ  ด้วยคำสั่งของพระเจ้าอชาติศัตรู
                ในที่สุดพระองค์ก็สวรรคต  เหตุที่พระองค์เป็นพระโสดาบัน  พระองค์จึงต้องรับกรรมในปัจจุบันชาติ  เพราะว่าพระองค์จะไม่ไปเกิดในอบายทั้งสี่  คือ  สัตว์นรก  สัตว์เดรัจฉาน  เปรต  และ  อสูรกาย
                ส่วนนายช่างไม้ไม่ได้มีบอกไว้ว่า  เมื่อเสียชีวิตแล้วในช่วงระหว่างนั้นคือหนึ่งพุทธันดร  ท่านไปรับกรรมอยู่ที่ไหนบ้าง  นอกจากเป็นนกดุเหว่าถวายผลมะม่วงให้กับพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนเป็นนายช่างไม้  แล้วมาเกิดเป็นพระกลกุณฎกภัททิยะเถระ
                กรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน  ข้ามภพข้ามชาติ  ส่วนภาพวาดภิกษุสันดานกาจะซับซ้อนแค่ไหนไม่มีใครรู้  แต่คงไม่ส่งผลในปัจจุบันชาติแน่นอน  เพราะผู้วาดก็เป็นเพียงปุถุชน  แม้เหล่ากรรมการทั้งหลายก็เป็นปุถุชนด้วยเหมือนกัน  ความคิดของท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นทางโลกอยู่ดี  ลบหลู่พระธรรมก็เหมือนลบหลู่พระพุทธเจ้า
                คิดแบบชาวบ้านดูก่อน  ถ้าภาพภิกษุสันดานกาเป็นคนต่างชาติต่างศาสนาวาด  ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร  อย่าไปมองอย่างศิลปะอย่างเดียว  ให้มองในด้านพุทธศาสนาจะชัดเจนกว่า  ถ้าไปมองด้านศิลปะแล้วก็จะเข้าข้างตัวเอง 
                ภาพภิกษุสันดานกาจะไม่เป็นการลบหลู่พระศาสนาเลย  ถ้าภาพนั้นจะครบองค์ประกอบ  คือ  มีรูปที่พระภิกษุกระทำดีแล้วได้ไปสวรรค์หรือนิพพาน  ภิกษุทุศีลคือทำชั่วไปตกนรก  นรกมีอยู่หลายขุมด้วยกัน  แล้วแต่ความผิด  ซึ่งในเวลานี้ผู้ที่ห่มผ้าเหลืองก็ตกนรกกันมาก  ภาพจะเน้นภิกษุสันดานกาให้ใหญ่หน่อยก็ไม่เป็นไร  เพราะภาพนั้นได้แสดงบอกว่าภิกษุทุศีลจะได้รับกรรมอย่างไรบ้าง  แต่ด้วยความเป็นศิลปิน  เมื่อวางตำแหน่งภาพอย่างที่ผมบอกไปอาจจะทำให้ภาพไม่เด่นนัก
                เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมีแต่ภาพลบที่ออกมา  จึงเป็นการลบหลู่โดยไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ให้มุมมองด้านเดียว  จะอ้างว่าในพระไตรปิฎกมีเขียนไว้ก็จริงอยู่  แต่ในพระไตรปิฎกไม่ได้มีหรือบอกไว้เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว  แล้วทำให้เข้าใจผิด  คล้ายฟังไม่ได้ศัพท์เหมือนเรื่องของเจ้าแกละ
                เจ้าแกละอยากจะกินไก่  แต่แม่ห้ามไม่ให้ฆ่าไก่มันเป็นบาป  ขณะนั้นแม่ก็ได้ยินหลวงตากำลังเทศน์อยู่ เพราะบ้านเจ้าแกละอยู่ติดกับวัด  แม่จึงไล่เจ้าแกละให้ไปฟังหลวงตาเทศน์
                หลวงตาก็แก่แล้วท่านก็เทศน์เนิบนาบ  วันนี้ท่านเทศน์เกี่ยวกับเรื่องศีลห้า  เมื่อท่านเทศน์ถึงศีลข้อที่หนึ่ง  การฆ่าสัตว์ตัวชีวิตก็ดี.......  เจ้าแกละพอได้ยินดังนี้  จึงรีบวิ่งกลับบ้านไปบอกแม่ว่า  หลวงตาบอกว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ดี  เจ้าแกละจึงบอกแม่ฆ่าไก่มากินกันเถอะ  แม่ก็ห้ามไว้  แล้วไล่ให้เจ้าแกละไปฟังเทศน์ให้จบก่อนจึงจะได้กินข้าว
                เมื่อเจ้าแกละวิ่งไปถึงวัด  หลวงตาก็เทศน์ถึงศีลข้อห้าพอดี  หลวงตาว่าการดื่มสุรายาเมาหรือสิ่งเสพติด  ก็ดี...... ทั้งหมดห้าข้อนั้นล้วนเป็นการทำผิดศีลธรรมเป็นกรรมที่มีนรกเป็นแดนเกิด
                นั่นเป็นเรื่องของเจ้าแกละ  ส่วนภาพภิกษุสันดากาก็คล้ายกันคือบอกไม่หมด  ทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน  ก็น่าเสียดายอยู่ที่ภาพนั้นได้ถ่ายทอดออกมาให้เห็นชัดในอีกแง่มุมหนึ่งของความเสื่อมที่เกิดจากภิกษุ  ที่จริงจะให้ภาพนี้เป็นภาพที่ไม่แสดงการลบหลู่หรือดูหมิ่นพระศาสนา  ก็ต้องมีคำบรรยายภาพด้านล่างสักหน่อย  อย่างเช่น  โทษของภิกษุที่มีศีลวิบัติ  ถ้ามีภาษาอังกฤษด้วยยิ่งดี  จะทำให้ต่างชาติเข้าใจยิ่งขึ้นว่าภาพนี้ไม่ใช่ภิกษุตามธรรมดาที่เห็นกันอยู่นะ  แต่เป็นภิกษุทุศีลทำศีลให้วิบัติ
                จะตำหนิกล่าวโทษหรือวิจารณ์ใดๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนานั้น  ให้พิจารณาที่ตัวเองก่อน  ว่าตัวเองมีภูมิธรรมมากน้อยแค่ไหน  คือเข้าใจหลักธรรมที่แท้จริงหรือไม่  เคยทำอะไรผิดศีลแล้วคิดว่าไม่เป็นไร  ไม่มีคนเห็น  ผิดเล็กน้อยไม่บาปหรอก  พึ่งทำผิดครั้งแรก  ผิดแค่นี้ไม่ตกนรกหรอก
                มีการไปสัมภาษณ์ประชาชน  อายุประมาณ ๒๐-๓๐ ปี  ประสบการณ์ในชีวิตยังน้อยโดยเฉพาะเขาเหล่านั้นศึกษาธรรมมาแค่ไหนกัน
                คณะกรรมการหลายท่านก็แสดงความคิดเห็นเป็นไปในแนวทางเดียวกัน  คณะกรรมการทั้งหลายก็ยังเป็นปุถุชนอยู่  ความคิดอ่านก็เป็นการยึดติดว่าเป็นศิลปะ  ยิ่งเป็นครูบาอาจารย์ด้วยอัตตายิ่งมาก
                มีความคิดเห็นของพระที่มีชื่อเสียงอยู่หลายรูป  พระเหล่านั้นก็มิได้อริยะสงฆ์หรือว่ามีบางรูปที่เป็นอริยะตัวท่านยอมรับหรือไม่  ท่านบิณฑบาตแล้วให้พรขณะที่ชาวบ้านนั่งรับพรอยู่หรือไม่  ถ้าท่านทำเช่นนั้นท่านก็ลบหลู่พระธรรมแล้ว  (ได้เขียนบอกไว้ในตอนต้น)  เมื่อท่านลบหลู่พระธรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น  ท่านจะว่าภาพภิกษุสันดานกาไม่ลบหลู่ได้อย่างไร
                ปกติเวลาพระพุทธเจ้าโปรดแสดงธรรมเทศนา  ภิกษุชื่อนั้น  ภิกษุชื่อนี้  บุคคลชื่อนั้น  บุคคลชื่อนี้  ได้รับผลของกรรมอย่างนี้  ได้รับผลบุญอย่างนี้  เพราะบุพกรรมในอดีตชาติได้เคยสร้างเคยทำอะไรไว้  ปัจจุบันจึงได้รับผลเช่นนี้  และพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสถึงเรื่องอดีตชาติที่ท่านทั้งหลายได้สร้างอะไรไว้จึงได้รับผลในปัจจุบัน
                พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงผลเพียงอย่างเดียว  แต่จะตรัสถึงเหตุด้วย  เมื่อเหตุดับทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับ  ดังนั้นภาพที่มีปัญหาก็ควรที่จะแสดงเหตุด้วยอย่างที่บอกเอาไว้  มีคำบรรยายภาพบอกถึงเหตุ คือ โทษของภิกษุที่มีศีลวิบัติ  ภาพนั้นก็จะเป็นภาพที่ไม่ได้ลบหลู่ศาสนา  ถ้าเชื่อเรื่องกรรมก็ควรจะแก้ไขซะ  แต่ที่สุดการแสดงภาพนั้นก็ได้ถูกระงับไปแล้ว
                ถ้าจะถามว่าผมเป็นใครกันละจึงมาวิจารณ์อย่างนี้  ผมก็เป็นเพียงบุตรของพระพุทธเจ้าคนหนึ่ง ที่ต้องการจะแสดงความคิดเห็นให้พวกท่านทั้งหลายได้พิจารณาไตร่ตรองดู
          เรื่องลบหลู่พระธรรม  ยังมีอยู่หลายเรื่อง  ส่วนเรื่องที่เคยเขียนไว้ในบทอื่นก็จะไม่นำมาลงให้ซ้ำกันอีก  จึงยกตัวอย่างมาอีกเรื่อง
                ทุกคนคงจะเคยดูพวกตลกเขาเล่นกัน  ในบางเรื่องพวกตลกได้ทำการลบหลู่พระธรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และผู้ดู    ผู้ฟัง ส่วนใหญ่ก็หัวเราะชอบใจสนับสนุนการลบหลู่ของพวกเขาด้วย
กรรมของตลก
พวกตลกเวลาเล่นตลกได้เอาพระธรรมมาล้อเล่นเพื่อให้เกิดการสนุกสนาน กุสลา  ธัมมา  อกุสลา  ธมฺมา ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล  ให้ผลเป็นสุข  ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุกข์
พระอภิธรรมที่พระพุทธเจ้าได้แสดงโปรดพระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ตลอดเวลา ๓ เดือน  ในกาลจบพระธรรมเทศนา  ทำให้พระมารดาสำเร็จโสดาบัน  และเทวดาแปดหมื่นโกฏิได้บรรลุธรรมตามภูมิธรรมแต่ละองค์
ตลกเอามาเล่นเพื่อให้เกิดความบันเทิงสนุกสนานแต่มีความหมายสื่อให้รู้ว่ามีคนตาย  เหมือนมีพระมาสวดศพเป็นการแกล้งเพื่อน  พวกเขาหารู้ไม่ว่าการกระทำอย่างนั้นเป็นการลบหลู่พระธรรม  เห็นพระธรรมเป็นเครื่องเล่นขบขัน จะรู้เท่าถึงการณ์หรือไม่รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี  พวกเขาได้สร้างบาปให้กับตัวเองแล้ว  นานๆครั้งก็จะเห็นนำมาเล่นกันอีก  ถ้ามองในแง่คนที่ไม่เข้าใจธรรมะก็คงว่าไม่เป็นไร  แต่ถ้ามองกันในแง่ของชาวพุทธที่มีความเชื่อเรื่องบุญและบาป  โดยเฉพาะเรื่องกรรม  วิบากของกรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน  ให้ผลในภพที่เกิดและให้ผลในภพต่อๆไป  และมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป  ไม่กล้าที่จะทำบาปที่บางคนจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ  ชาวพุทธแท้ๆถึงจะเป็นอย่างนี้
 

ไม่มีความคิดเห็น: