ปัญญาทำให้รู้แจ้งแทงตลอด บทนี้เสริมความรู้ทางปัญญาที่หลายคนเคยรู้มาบ้างแล้วแต่อาจจะแตกต่างจากที่ผมนำมาเขียนเพื่อให้ได้ปัญญาจริงๆ ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องแต่ก็ช่วยให้มีความเข้าใจมากขึ้น
พระร้องเพลง พระเล่นจำอวด
พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงได้เหตุเพราะพุทธบริษัทไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระองค์ ที่สุดเอาเศษจีวรมาผูกคอหรือมาทัดหู ก็ขึ้นชื่อว่าภิกษุแล้ว เวลานี้ภิกษุก็ทำผิดวินัยกันมาก ผิดกันตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ได้ พระร้องเพลงก็มี พระเล่นจำอวดก็มี ทั้ง ๒ อย่างนั้นแม้จะทำให้มีผู้คนหันเข้ามาฟังธรรมกันมากขึ้น ตามความคิดของท่านว่าเหมาะสมเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันก็จริงอยู่ แต่เป็นการสร้างนรกให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัวน่าเศร้าจริงๆ ถ้าเป็นฆราวาสธรรมกระทำอย่างนั้นก็มีบาปอยู่มากน้อยต่างกัน แต่เป็นพระภิกษุก็ถือว่าไม่เคารพต่อพระธรรมแล้ว และเพราะความเป็นปุถุชนของท่าน จึงไม่อาจเข้าใจหลักธรรมของอริยะไปได้ คนส่วนหนึ่งก็ชอบฟังพระร้องเพลง เล่นจำอวดจนหลงยึดติดคิดว่าได้ยินได้ฟังแล้วทำให้มีความสุข
โทษของภิกษุผู้กล่าวธรรมด้วยเสียงขับยาว ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษของภิกษุผู้กล่าวธรรมด้วยเสียงขับยาว ๕ ประการ คือ (๑) ตนเองย่อมกำหนัดในเสียงนั้น (๒) ผู้อื่นย่อมกำหนัดในเสียงนั้น (๓) ถูกตำหนิโทษว่าสมณศากยบุตรเหล่านี้ขับเหมือนพวกขับร้อง (๔) เมื่อพอใจการขับร้องความเสื่อมแห่งสมาธิย่อมมี (๕) ประชุมชนรุ่นหลังย่อมถือเป็นเยี่ยงอย่าง (คีตสูตร ๔-๒๓๔)
ดูก่อนราหุล เรากล่าวว่า บุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งที่รู้ จะไม่ทำบาปแม้น้อยหนึ่งเป็นไม่มี เพราะเหตุนั้นราหุลเธอจักไม่กล่าวมุสา แม้เพราะหัวเราะกันเล่น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลล่วงธรรมอย่างหนึ่งคือ การกล่าวเท็จทั้งที่รู้ เรากล่าวว่าบาปกรรมอะไรๆ อันเขาจะไม่พึงทำไม่มีเลย (สัมปชานมุสาวาทสูตร ๕-๒๔๕)
ขับเสียงยาวเป็นอย่างไรคงไม่ต้องอธิบายกันนะ ส่วนจำอวดมีให้เห็นกันอยู่ สร้างและสะสมทางนรกให้กับตัวเองแท้ๆไม่รู้บ้างหรืออย่างไร ขอบอกก่อนว่าผมไม่มีเจตนาที่จะยกตนข่มท่านแต่ประการใด แต่ต้องการให้พุทธบริษัทได้เข้าใจหลักธรรมให้มีปัญญาเพิ่มขึ้น แม้ในเวลานี้ก็มีพระที่ทำผิดวินัยกันมากโดยไม่รู้ตัว ฆราวาสเองก็ไม่เข้าใจ ทำให้พระผิดวินัยกันด้วย
เพื่อให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เข้าใจพระวินัยเพิ่มขึ้น จึงนำตัวอย่างบางเรื่องมาขยายความให้รู้กัน
โภชนปฏิสังยุตที่ ๒ หมวดว่าด้วยการบิณฑบาตและฉันอาหาร สิกขาบทที่ ๒ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
ครั้งพุทธกาลโน้น ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรบวชมาได้ ๕ พรรษา ยังไม่เคยไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีเลย ออกพรรษาแล้วก็บอกเพื่อนภิกษุให้พาไปบิณฑบาตในเมืองบ้าง เพื่อนภิกษุก็เตือนให้ระวังรักษาให้ดี ถ้ารักษาไม่ดีตายแน่
ภิกษุเหล่านั้นก็พากันไปบิณฑบาต พอไปถึงหน้าบ้านเศรษฐี พอดีลูกสาวเศรษฐีนุ่งห่มน้อยไม่ระวังกาย ทำให้เห็นของสงวนบ้างไม่เห็นบ้าง วับๆแวมๆ กลิ่นหอมจากเครื่องหอมลอยมา พร้อมกล่าววาจารับอาหารหวานคาวเสียก่อน ขณะนั้นตาของทั้งสองได้ประสบกัน เธอนั้นงามเสียจริงๆ
สาวเจ้าก้มมองเห็นพระรูปงามเหมือนกัน อุคคหนิมิต เกิดขึ้นเห็นหมดทุกอย่าง เมื่อสองฝ่ายเห็นหน้ากันอย่างนั้น ไฟราคะก็ลุกโพลง ไหม้ใจของลูกสาวเศรษฐีสิ้นชีวิตอยู่ตรงนั้น ส่วนภิกษุองค์นั้นเล่าก็ถึงกับสลบไปต้องหามกันกลับวัด
ลูกสาวเศรษฐีตายแล้วก็เอาไปเผาเลย แล้วเอาเสื้อผ้ามาบังสุกุลกับพระรูปนั้น พอเอาเสื้อผ้ามาวางต่อหน้า อุคคหนิมิต เกิดขึ้นเป็นรูปหญิงสาวยิ้มให้อย่างยั่วยวน เท่านั้นแหละ ไฟราคะก็เผาจิตพระท่านให้สิ้นใจตายในขณะนั้น
มีพระวินัยอีกบทที่ต้องนำมาประกอบกัน คือ ธัมมเทศนาปฏิสังยุตที่ ๓ หมวดว่าด้วยการแสดงธรรม สิกขาบทที่ ๑๔ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่าเรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งอยู่
พระทั้งหลายขณะบิณฑบาต ญาติโยมได้ใส่บาตรเสร็จแล้วนั่งโดยเคารพและพนมมือ พระก็ยืนให้พร “ยะถา สัพพี----- หรือบทอื่นใดก็ตาม”
นั้นแหละยืนให้พรเห็นแก่ลาภ และไม่เคารพธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ยืนเทศนาให้แก่บุคคลไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ ตัวเองก็ไม่เป็นไข้ จะถูกต้องได้อย่างไร คำเทศนาใช่ว่าแต่จะนั่งอยู่บนธรรมาสน์ก็หาไม่ การกล่าวพระธรรมบทใดบทหนึ่งก็เป็นการแสดงธรรมเช่นกัน เมื่อญาติโยมต้องการขอพร พระก็บอกให้เขาลุกขึ้นยืนก็ได้ (ไม่สวมหรือยืนบนรองเท้า)
พระในยุคของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านจะให้ชาวบ้านเอาไม้แผ่นเดียวมายึดไว้กับตอไม้ ถึงเวลาก็เอาผ้าขาวมาปูไว้ พอหลวงปู่มั่นและหมู่สงฆ์กำลังบิณฑบาตมา ชาวบ้านก็จะตีเกาะเตือนให้พากันมาใส่บาตร เสร็จแล้วก็นิมนต์ให้ท่านนั่งและให้พร อย่างนั้นแหละท่านเคารพธรรมวินัย
พระบางวัดรับบิณฑบาตแล้วก็จะเดินไปรับบาตรที่อื่นต่อไม่ได้ให้พร ชาวบ้านก็ไม่ว่ากระไร แต่ชาวบ้านที่กลัวจะไม่ได้บุญก็มีเยอะต้องการให้พระท่านให้พร ความจริงขณะใส่บาตร จิตก่อนให้มีความยินดี จิตขณะกำลังให้ผ่องใส ให้แล้วมีความปิติยินดี ครบองค์ ๓ อย่างนี้บุญก็เกิดแล้ว
พระบิณฑบาตเสร็จแล้วก็จะนำไปฉันที่วัด เมื่อฉันเสร็จแล้วก็จะให้พรอีกครั้งหนึ่ง แม้อาหารที่บิณฑบาตมามีมากก็จะถูกแบ่งไว้ฉันเวลาเพล ซึ่งจะมีลูกศิษย์ฆราวาสจัดการอุ่นให้เป็นที่เรียบร้อย เมื่อพระฉันเพลเสร็จก็จะอนุโมทนาคาถาให้อีก วันหนึ่งให้ตั้งสองรอบนะ
ทานของนางนาค
สมัยหนึ่งภิกษุในลังกาทวีปประมาณ ๖๐ รูป พากันเที่ยวไปไหว้บูชามหาวิหารทั้งหลาย จากนั้นภิกษุทั้งหมดใคร่จะไปไหว้ราชายตนะเจดีย์ในนาคทวีป เป็นลำดับต่อไป
ครั้นรุ่งแจ้งภิกษุเหล่านั้นได้เตรียมตัวเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เที่ยวบิณฑบาตไปทั่วไม่ได้อาหารแม้แต่น้อย ในขณะนั้น มีหญิงคนหนึ่งชื่อนาคาเป็นทาสีค่าตัว ๖๐ กหาปณะ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้นของตระกูลหนึ่งกำลังถือหม้อไปตักน้ำ นางเห็นภิกษุเหล่านั้นเข้าไปนมัสการแล้วถามว่า พระคุณเจ้าได้ภิกษาหารแล้วหรือ ภิกษุทั้งหลายบอกกับนางว่า ดูก่อน อุบาสิกาเวลานี้ยังเป็นเวลาก่อนเพลนี่นา นางทราบว่าภิกษุเหล่านั้นไม่ได้อะไรเลย จึงมีความคิดที่จะถวายทานแก่ภิกษุเหล่านั้น คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี แต่ก่อนเราอาศัยเงิน ๖๐ กหาปณะ ทำการรับจ้างได้ค่าตัวในตระกูลอื่น บัดนี้เราจะยอมเป็นทาสีแห่งตระกูลอื่นในเวลากลางคืน เราจะถวายทานให้ได้ทีเดียว จึงเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น ได้วางหม้อน้ำไว้เฉพาะหน้าภิกษุเหล่านั้นแล้วพูดว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าหม้อน้ำนี้ควรค่า ๑ บาท ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดรออยู่ก่อน ข้าพเจ้าจะกลับมา
นางรีบเข้าไปสู่ตระกูลนั้นนั่นเอง แล้วพูดกับนายเจ้าของบ้านได้โปรดให้เงิน ๖๐ กหาปณะ งวดอื่นแก่ข้าพเจ้าเถิด เจ้าของเงินได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็ตอบไปว่า แม่นางเป็นทาสีของตระกูลอื่นมิใช่หรือ เธอยังไม่เห็นความหลุดพ้นจากหนี้เก่าเลย แล้วเธอจะเอาเงินเพิ่มขึ้นเพื่ออะไรกัน นางตอบไปว่า ข้าแต่นาย โปรดอย่าคิดเรื่องนั้นเลย ข้าพเจ้ายอมเป็นทาสีในเรือนท่านในเวลากลางคืนจะทำงานใช้หนี้ท่าน ได้โปรดให้เงินแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด เจ้าของเงินก็ตกลงแล้วทำหนังสือสัญญากันแล้วให้เงินนางไป
นางรับเงินนั้นแล้วเที่ยวไปทั่วหมู่บ้านนั้นๆ ได้ให้เงินตระกูลละหนึ่งกหาปณะเพื่อแลกกับอาหารใช้เงินไปจนหมด เมื่อได้อาหารพร้อมแล้ว จึงไปใส่บาตรกับภิกษุทั้งหลาย เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วจึงบอกถึงความพยายามของนางทั้งหมดจึงได้อาหารมา
ขอนมัสการเท้าของผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ขอพระคุณเจ้าโปรดฟังคำของข้าพเจ้า บุคคลอื่นเช่นพระผู้เป็นเจ้านี้ในแผ่นดินย่อมไม่มีแก่ข้าพเจ้า เพราะความเป็นคนกำพร้าอนาถา ข้าพเจ้าทนเป็นทาสีกู้หนี้ไม่อาจใช้หนี้ได้ ข้าพเจ้าไม่มีที่อยู่ ไม่มีสมบัติ ไม่มีญาติพี่น้อง อยู่ไปอย่างนั้น
วันนี้ข้าพเจ้าได้ถวายทานแล้ว ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงบริโภคอาหารที่ข้าพเจ้าได้ถวายด้วยเถิด
นางพาภิกษุเข้าไปยังป่ามุจลินท์ ริมสระน้ำ ในบรรดาภิกษุเหล่านี้พระเถระเรียกพระภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ขอท่านทั้งหลายจงชำระให้สะอาดซึ่งนาแห่งพืช คือศรัทธาของหญิงคนนั้น ผู้ยังมีราคะ จงอย่าบริโภคอาหารในเวลานี้ แล้วกล่าวต่อไปว่า
แน่ะ ท่านผู้เจริญ หญิงคนนั้นไม่ใช่มารดาของเราและไม่ใช่พี่หรือน้องของเรา นางนั้นไม่ใช่แม่ยาย ไม่ใช่ลูกสะใภ้ ไม่ใช่ญาติ และไม่ใช่เพื่อนฝูง นางเป็นคนอนาถา ยากจนเข็ญใจ ทำงานของผู้อื่น คิดอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้มีความเพียรเหล่านี้เป็นผู้มีศีล มีคุณ มีพรตดี ทานที่ถวายแก่ภิกษุเหล่านี้แม้มีจำนวนน้อย พึงอำนวยผลเป็นอนันต์ นางขายตัวเป็นทาสเพื่อถวายทานแก่เราทั้งหลายในวันนี้
เราทั้งหลาย พึงหวังผลอันยิ่งใหญ่ต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ เราไม่ฆ่าอาสวะทั้งหลายมีราคะแล้วไม่ต้องบริโภคอาหารนั้น
ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น นั่งแล้วในที่นั้นเจริญวิปัสสนา บรรลุอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้น อันเทวดาทั้งหลายในป่านั้นแซ่ซ้องสาธุการ เมื่อบริโภคอาหารแล้ว เทวดาที่สิงสถิตอยู่ตามเศวตฉัตรของพระราชาทราบความเป็นไปของนางนั้นและของภิกษุทั้งหลาย และได้ยินสาธุการของเทวดาทั้งหลายในป่านั้น จึงให้สาธุการด้วยความยินดีว่า
สาธุ สาธุ ท่านผู้มีศรัทธามาก สาธุ สาธุ ความดีท่านทำแล้ว ทานได้ถึงเนื้อนาบุญแล้ว วันนี้ท่านได้ลาภเป็นอย่างดี
พระราชาได้ยินเสียงสาธุการของเทวดา ตรัสถามว่าแน่ะเทวดาท่านให้สาธุการแก่ทานของข้าพเจ้าหรือ หรือว่าให้สาธุการแก่ทานของผู้อื่น ลำดับนั้น เทวดาตอบพระราชาว่า สาธุการมิได้หมายถึงทานของพระองค์ แต่หมายถึงทานของนางนาคา แล้วกล่าวว่า
ผู้ใดทำการบีบคั้นผู้อื่นด้วยการบั่นรอนและทำลายเป็นต้น และยังทำบูชาใหญ่คือการถวายทาน ให้เป็นไปทานของผู้นั้นไม่มีผลมาก
ผู้ใดไม่มีความนับถือเป็นเบื้องหน้าให้ทานในที่ใช่เนื้อนาบุญ โดยไม่มีศรัทธา ไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนทานของผู้นั้นไม่มีผลมาก
ผู้ใดแม้เป็นคนยากจนเข็ญใจ แต่มีศรัทธามากประกอบด้วยความนับถือ มีใจบริสุทธิ์ ให้ทานแม้เล็กน้อยทานของผู้นั้นย่อมให้ผลหาที่สุดมิได้
เทวดาพรรณนา ความมีผลมากในทานโดยนัยนี้เป็นต้น แล้วพูดว่า ข้าแต่มหาราช หญิงคนหนึ่งชื่อนาคาในนาคทวีปเป็นทาสีเงิน ๖๐ กหาปณะ ได้ถวายทานอย่างนี้แก่ภิกษุทั้งหลายและภิกษุทั้งหลายอาศัยทานของนางจนบรรลุอรหันต์ ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีต่อหญิงนั้นจึงให้สาธุการแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยพิสดาร
พระราชาทรงฟังเรื่องนั้นแล้ว มีความโสมนัสตรัสเรียกเจ้าหนี้และนางนั้นมาแล้วทรงโปรดใช้หนี้ให้แก่นาง ทำนางนั้นให้พ้นจากเป็นทาส ทรงทำทวีปทั้งหมดนั้นให้เป็นรางวัลประทานแก่นางนั้น ทรงประทานสมบัติเป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมา นัยว่า ทวีปนั้นมีชื่อปรากฏว่า นาคทวีป แต่นั้นมานางทำบุญกรรมเป็นอันมาก ในเวลาสิ้นชีวิตไปเกิดในเทวโลก ดังนี้
ผู้มีใจประกอบด้วยปัญญาอย่างนี้ ทำตนให้เป็นทาสให้ทานแล้ว ย่อมไปสวรรค์ และเป็นผู้ได้รับการสรรเสริญ
เพราะฉะนั้นท่านจงยินดียิ่งๆขึ้นไปต่อการให้ทานมีความปรารถนาประโยชน์เป็นเหตุ ตัดกองตระหนี่เสีย คบมิตรคือทานเถิด
ข้าพเจ้านำเรื่องของนางนาคมาเขียนและมีรายละเอียดมากหน่อยเพื่อต้องการให้ชาวพุทธได้เข้าใจการทำทานแม้น้อยนิดแต่ให้ผลมากได้อย่างไร ภิกษุสมัยก่อนปฏิบัติเช่นไร จึงทำให้ทานของนางนาคมีผลมาก เรื่องลักษณะนี้ก็มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน นำมาให้อ่านเพียงเรื่องเดียว
ปัจจุบันคงจะเป็นไปได้ยากที่ทานจะให้ผลได้ขนาดนั้น เพราะหาภิกษุที่อยู่ในธรรมวินัยได้น้อย ยิ่งพระอริยะแล้วยิ่งหายากไปอีก จะว่าแต่พระอรหันต์เลย พระโสดาบันก็หาได้ยากแล้ว ความจริงพระโสดาบันบ้านเราก็ยังมีอยู่นะ พระโสดาบันที่เป็นฆราวาสก็มี ของอย่างนี้รู้เฉพาะตน ถ้ายังไม่มีโอกาสได้สนทนากับท่านก็ไม่อาจรู้ได้ง่ายๆ พระโสดาบันบุคคลก็ใช้ชีวิตปรกติเหมือนปุถุชนทั่วไป จะมีบ้างที่การพูดการกระทำจะต่างกันออกไป คนทั่วไปจะมองไม่ค่อยออก คนใกล้ชิดบางคนก็ยังมองไม่ออกก็มีมาก ใครได้พบเจอและมีโอกาสได้สนทนาธรรมก็ถือว่ามีลาภอย่างยิ่ง
ฐานะ ๔ พึงรู้ด้วยฐานะ ๔ ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๑) ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกันนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการจึงจะรู้ ไม่มนสิการอยู่หารู้ไม่ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ (๒) ความสะอาด พึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ (๓) กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย ฯ (๔) ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนาฯ (ฐานสูตร ๔-๓๕)
ส่วนการทำบุญกับพระสงฆ์ในปัจจุบันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทำเสร็จครบองค์ ๓ บุญเกิดขึ้นทันทีไม่ต้องไปคิดมาก การทำทานโดยการใส่บาตรก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ต่อไปก็ต้องหมั่นรักษาศีลให้บริสุทธิ์ และฝึกการภาวนา เป็นไปตามขั้นตอน
นมหกใส่บาตร
ย้อนกลับไปที่สิกขาบททั้ง ๒ อีกครั้ง ปรกติเมื่อภิกษุบิณฑบาตต้องอยู่ในอาการสำรวมตาไม่สอดส่ายวอกแวกจะจงกรมไปด้วย พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรืออะไรก็ได้ที่ถนัด มองห่างจากปลายเท้าประมาณเมตรหนึ่ง แต่ขณะที่เดินอยู่สัก๒-๓ เมตรก็ได้ มองใกล้ไปก็จะโดนรถชนเอาต้องระวังด้วย แต่ขณะที่รับบาตรอยู่นั้นฆราวาสยืนอยู่ สายตาภิกษุก็จะอยู่ช่วงท้องของฆราวาสโดยประมาณ ถ้าฆราวาสนั่งลงสายตาภิกษุก็จะเห็นฆราวาสนั่งยองๆ ผู้หญิงแต่งตัวไม่มิดชิดสายเดี่ยว เกาะอก คอกระเช้า บางคนก็ชุดคลุมยาวไม่ใส่ชั้นในก็มี นั่งลงตรงหน้าพระเห็นหมดทั้งข้างบนข้างล่าง ขาสั้นเอวต่ำ นั่งลงไปก็เห็นร่องก้นหมด คนข้างหลังเห็นหมด พระบางท่านก็อยากจะชะเง้อไปดูข้างหลังบ้าง กลับไปวัดต้องรีบต่อศีลปลงอาบัติกันยกใหญ่ แต่เมื่อภิกษุรับบิณฑบาต จักแลดูแต่ในบาตร คือให้สำรวมมองแต่ในบาตร
ขณะพระยืนอยู่ คนทั้งหลายนั่งใส่บาตร บางคนใส่ไม่ค่อยถึงโยงโย้โยงหยกก็จะล้มใส่พระ บางทีก็จะไปดึงบาตรพระให้ตกลงมาอีก บางทีใส่ไม่ถึงพระท่านก็จะลดบาตรลงต่ำให้ใส่สะดวก พระบางท่านก็โน้มตัวลงไปรับอาหารการโน้มตัวของพระไม่สมควร เหมือนอาการว่าพระได้แสดงความคารวะคือ การเคารพต่อฆราวาสบาปกันยกใหญ่ อธิบายความหมายในเรื่องฝนรัตนะ
ฝนรัตนะ
ในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพร้อมเหล่าภิกษุจำนวนมาก ประชาชนทั้งหลายได้นิมนต์ให้มารับภัตตาหารในหมู่บ้านนั้น มีชายยากจนผู้หนึ่งได้ยินข่าวการกุศลครั้งนี้ มีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า แต่ตัวเองเป็นคนจนคงไม่มีโอกาสได้ถวายทานต่อพระพุทธเจ้าเป็นแน่ ถึงกระนั้นถ้าได้ถวายทานกับพุทธสาวกก็ดี ยังความปลาบปลื้มใจและรีบจัดเตรียมอาหารสำหรับถวายทาน
ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรวจดูวาสนาบารมีของสัตว์ทั้งหลาย ทรงเล็งเห็นด้วยจักษุฌาณว่า ชายยากจนผู้นั้นเป็นผู้มีวาสนาบารมี เมื่อพิจารณาแล้ว พระพุทธองค์ก็มีดำริที่จะโปรดชายผู้นั้นในตอนเช้า
ท้าวสักกะมีความล่วงรู้ในดำริของพระพุทธเจ้า ในคืนนั้นก็ได้เหาะจากสวรรค์ลงมายังบ้านของชายผู้นั้น และทำอาหารที่ชายผู้นั้นกระทำอยู่ให้เป็นอาหารทิพย์
พอเช้าได้เวลาบิณฑบาต พระพุทธเจ้าก็เสด็จมายังบ้านของชายผู้นั้น โดยไม่มีใครรู้เลย เพราะตระกูลใหญ่ในหมู่บ้านก็ประสงค์จะให้พระพุทธเจ้าเสด็จมายังเรือนของตนทั้งนั้น
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงหน้าบ้านของชายผู้นั้นแล้ว ยืนรออยู่สักครู่ ขณะนั้นอาหารที่ชายผู้นั้นเตรียมถวายทานก็เสร็จเรียบร้อย ชายนั้นมองเห็นภิกษุยืนอยู่หน้าบ้าน จึงรีบออกมาต้อนรับ
ด้วยพุทธลักษณะอันมีฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า ทำให้ชายผู้นั้นรู้ได้ทันทีว่าผู้ที่มาเรือนของตนนั้น คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังความปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนักแก่ชายผู้นั้น
เขาได้นมัสการพระพุทธเจ้าแล้ว มีความคิดว่าจะจัดอาสนะตรงไหนจึงจะสมควร เรือนของตัวเองก็เล็กคับแคบ ประตูทางเข้าก็ต่ำ จะนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าเข้าไปในเรือนของตนก็ไม่บังควร ทันใดนั้นเองแผ่นดินตรงหน้าประตูเรือนของชายผู้นั้นก็ทรุดต่ำลง
พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกให้ชายผู้นั้นนำทาง แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าไปยังเรือนนั้น (โดยไม่ต้องเสด็จก้มพระเศียรเข้าไป ) ชายนั้นจัดการอาสนะและถวายอาหารอันเป็นทิพย์ที่ท้าวสักกะมาเนรมิตให้แล้ว ตั้งความปรารถนาให้ถึงพร้อมความมีโภคทรัพย์มิได้ขาด
เมื่อเสร็จภัตกิจแล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จราชดำเนินกลับ ทันใดนั้นฝนรัตนะ ได้ตกลงมาเต็มเรือนของชายผู้นั้น เขาได้นำทรัพย์ส่วนหนึ่งไปถวายพระราชา แล้วนำทรัพย์ที่เหลือบริจาคทานตลอด เขาถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายจุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปบังเกิดยังเทวโลก
ที่นำตัวอย่างและเรื่องต่างๆมาประกอบการเขียนครั้งนี้ เพื่อให้ชาวพุทธทั้งหลายได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้มากตามเรื่องที่ผมเขียนเอาไว้
ความจริงเหตุที่ทำให้พุทธศาสนาอยู่ได้ไม่ตลอดก็เป็นเพราะพุทธบริษัททั้งนั้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พุทธบริษัทโดยภิกษุทำผิดพระวินัยเป็นส่วนมาก อุบาสกอุบาสิกาที่เข้าถึงพระรัตนตรัยมีน้อย
อย่างที่มีข่าวภิกษุ อุบาสิกาและญาติธรรมเดินขบวนไปประท้วง เรียกร้องไม่รู้ว่าพระจะไปเรียกร้องอะไร พระวินัยก็ยังรักษาไม่ได้ ธรรมะก็ศึกษามาน้อย ไม่เข้าใจหลักธรรมที่แท้จริง
ภิกษุและผู้ปฏิบัติธรรมไม่ไปข้องแวะหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง การปกครอง ไปถามผู้ศึกษาพระอภิธรรมดู รู้กันหมดทุกคน เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็แสดงอาการโกรธ เท่านั้นยังไม่พอยังกล่าววาจาสาปแช่ง ท่านไม่รู้หรือไง ถ้าสิ้นชีวิตในเวลานั้น ท่านตกนรกทันทีเลยนะ แล้วอย่างนี้จะไปสอนชาวบ้านได้อย่างไรกัน มีแต่ชาวบ้านที่ไม่มีปัญญาจึงยังหลงเชื่ออยู่ ตัวเองยังไม่เข้มแข็ง ยังไม่ศรัทธา แล้วจะให้ผู้อื่นศรัทธาได้อย่างไร
ชาวพุทธในเวลานี้คล้ายกับผู้คนในแคว้นวัชชี ที่ถูกวัสสการ พราหมณ์มายุแหย่ให้แตกความสามัคคี ท้ายสุดก็ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าอชาตศัตรู ผิดแต่ชาวพุทธในเวลานี้ ไม่เชื่อถือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ภิกษุก็ไม่เคารพพระวินัย ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระธรรม
มหาศีลดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวชมว่าพระสมณโคดมเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิด ด้วยดิรัจฉานวิชาอย่างที่สมณพราหมณ์บางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังทำอยู่คือ (๑) ทายอวัยวะ ทำนายฝัน (๒) ทายลักษณะแก้วมณี ลักษณะผ้า (๓) ดูฤกษ์ยาม (๔) พยากรณ์เหตุการณ์ ดินฟ้าอากาศ (๕) ดูโชคเคราะห์ (๖) ทำพลีกรรม บนบาน แก้บน (๗) ปลุกเสกร่ายมนต์จับผี ปรุงยา (พรหมชาลสูตร ๑-๒๒๖) ในสามัญผลสูตร จะกล่าวถึงมิจฉาอาชีวะ โดยเนื้อความที่เหมือนกัน เรื่องบางเรื่องก็มีอยู่ในหลายพระสูตร
การทำสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๒ และ ๓ ก็เกิดจากเงินเป็นลำดับ ปัจจุบันก็มีพระภิกษุสะสมเงินกันมาก บางทีชาวบ้านยังไปกู้ยืมพระยังมี สะสมมากกิเลสก็มาก ถ้าจะสร้างถาวรวัตถุก็เป็นเรื่องของชาวบ้านเขา ไม่ใช่ส่วนของพระที่คิดจะสร้างเพื่อเป็นบุญ พระปฏิบัติตามธรรมวินัยก็เป็นบุญแล้ว ถ้าหากยังไม่บรรลุมรรคผล
ชำระหนี้สงฆ์
ไม่รู้ว่าพระรูปไหนวัดอะไรเริ่มหาเงินโดยกล่าวอ้างความศรัทธาที่ไม่รู้เรื่องของชาวบ้านตั้งตู้บริจาค ทำบุญเพื่อชำระหนี้สงฆ์ ไม่รู้ว่าไปเป็นหนี้พระตั้งแต่เมื่อไหร่ พระบางรูปก็เทศน์ขณะชาวบ้านเดินเข้ามาในวัดและเดินออกไปทั้งดินและทรายติดรองเท้าไปนอกวัดเป็นบาป ไม่รู้คิดได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอยู่แล้ว ลมและฝนก็พัดพาดินของวัดปลิวไปไหนต่อไหนอยู่เป็นปรกติ สิ่งของที่มีผู้คนมาทำบุญถวายเป็นของวัด โดยเฉพาะที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายไม่ใช่ของพระ พระเพียงมาอาศัยเท่านั้น
เมื่อใส่เงินในตู้บริจาคชำระหนี้สงฆ์แล้ว พระนำเงินไปทำอะไรบ้าง ช่วยบอกหน่อยเถอะ ถ้าว่าจะนำเงินไปสร้างนั่นทำนี่หรือใส่ย่ามพระเวลาฉุกเฉินก็นำไปใช้ก็เท่ากับหลอกลวงชาวบ้าน
พระทำผิดพระวินัยก็ยังมีการปลงอาบัติหรืออยู่กรรมแล้วแต่อาบัติร้ายแรงเท่าไหน คณะสงฆ์เป็นผู้พิจารณาต้องอยู่ปริวาสกรรมกี่วัน ตามระเบียบของสงฆ์นั่น แล้วฆราวาสจะมีวิธีชำระหนี้สงฆ์อย่างไร ถ้าทำต่อพระก็ไปขอขมากรรมต่อพระให้ท่านอโหสิกรรมให้ แต่ถ้าทำกรรมในอดีตชาติที่เราจำไม่ได้ว่าเราเคยพูดจาล่วงเกินพระสงฆ์ทั้งหลายหรือแม้แต่คิดอติไม่ดีต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้าก็ดี ก็สมควรไปขอขมากรรมต่อพระประธานในโบสถ์ การขอขมากรรมไม่ได้ทำให้กรรมนั้นหมดไป แต่เป็นการยอมรับกรรมสำนึกผิด (ทางกฎหมายผู้รับผิดศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง)เพราะมีความเชื่อบาปบุญคุณโทษเชื่อเรื่องกรรม อันเป็นพื้นฐานของชาวพุทธ ที่เชื่อเรื่องของกรรม และจะไม่สร้างกรรมใหม่อีก เพราะกรรมเก่าเราแก้ไขอะไรไม่ได้
บาปที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของชาวบ้านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี จะมาลบล้างบาปด้วยวิธีอะไรกัน ไม่มีหรอก บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ถ้ารู้ตัวว่าทำบาปไว้แล้ว ต่อไปต้องแก้ไขอย่าให้เกิดขึ้นอีกและหมั่นทำแต่บุญมากๆ บุญอะไรที่ไม่เคยทำก็ทำซะ บุญที่เคยทำอยู่แล้วก็ทำให้ยิ่งๆขึ้นไป บาปที่เคยทำก็ให้ละเสีย ส่วนบาปอื่นที่ไม่เคยทำก็อย่าให้มีขึ้น
ยังมีเรื่องของธูปอีก พระท่านจะบอกว่าหยิบธูปในวัดตามโบสถ์หรือวิหารมาใช้ก็เป็นหนี้พระแล้วต้องชำระหนี้สงฆ์ ต้องมาดูที่เจตนากัน ธูปบางส่วนชาวบ้านนำมาเพื่อบูชาพระ พอเหลือก็ไม่อยากเก็บกลับบ้าน วางไว้เผื่อคนอื่นจะได้ใช้ เจตนาดีเป็นการทำทานอย่างหนึ่ง เพื่อให้คนข้างหลังได้ใช้ธูปของตน ส่วนพระที่ดูแลวิหารเห็นว่าธูปหมดก็นำธูปมาวางไว้เพื่อให้ชาวบ้านนำไปจุดบูชาพระ เพราะคิดที่จะหาปัจจัยก็มีการตั้งโต๊ะจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียนให้เรียบร้อย อย่างทุกวันนี้จึงจะถูกต้อง
เข้าวัดแล้วเหยียบดินของวัดออกมา ก่อนเข้าวัดก็เหยียบดินข้างนอกเข้าวัดเหมือนกัน การนำดินออกจากวัดด้วยการเหยียบย่ำแล้วติดรองเท้าไป ไม่ได้มีเจตนาที่จะขโมยเพราะไม่ได้นำดินส่วนที่ติดรองเท้าไปทำประโยชน์เพื่อให้ได้ปัจจัยมา ไม่รู้พระท่านไปเอาเรื่องนี้มาจากตำราไหน ถ้าเป็นเรื่องขโมยกลิ่นดอกไม้ยังมีอยู่ ที่เทวดามาเตือนฤๅษีไม่ให้ยินดีด้วยดอกไม้ของหอมที่จะยั่วให้เกิดกิเลสตัณหา อย่างพระบางรูปซักจีวรยังใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มให้กลิ่นหอมติดทนนาน ก่อกิเลสให้กับตนเอง
ความเปลี่ยนแปลงของวัตถุ อย่างโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ สิ่งของเครื่องใช้แม้กระทั่งดินของทางวัด ก็เป็นไปตามสภาพของมัน คือ ความไม่เที่ยง ธรรมชาติเป็นผู้ทำลายให้เกิดการทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับดินหรือทรายที่ผู้คนทั้งหลายได้เดินเหยียบย่ำแล้วติดรองเท้าออกจากวัด ก็เป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างที่บอกเอาไว้แล้วว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะนำดินทรายที่ติดรองเท้าไปทำประโยชน์เพื่อได้ปัจจัยมา
พระสงฆ์หรือแม้แต่มรรคนายกที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนชาวบ้านทำบุญโดยการขนทรายเข้าวัดเพื่อนำไปซ่อมแซมบูรณะวัดต่อไปที่เรียกกันว่า การก่อพระเจดีย์ทราย การกระทำเช่นนี้ย่อมได้บุญแน่นอน แต่ผู้ประชาสัมพันธ์ได้เชิญชวนการขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นการชดใช้หรือคืนดินทรายในส่วนที่ตนเองไปเหยียบติดรองเท้าออกนอกวัดไป ไม่รู้จริงแล้วนำมาอ้าง ก็คือโกหกโดยการเข้าใจผิดเพื่อให้คนมาทำบุญความคิดอย่างนี้ย่อมมีอยู่ในวิสัยของปุถุชนเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น